ขอเขียนในแบบที่ทุกคนเข้าใจได้ ไม่อิงวิชาการมากนะครับ


เป็นที่ทราบกันดีว่ารุ่นนี้หน้านุ่มเกินท้ายเด้งไป และติดแก๊สแบกถังเพิ่มเข้าไปตูดก็ห้อยอีกเด้งเข้าไปใหญ่ จะแก้ไงดีล่ะ มาดูวิธีของผมกัน

คอนเส็ป : เตี้ยลงไม่เกิน 1 นิ้ว หน้ากระชับขึ้น ท้ายเด้งต้องหาย ขับสบาย

โช๊คคู่หน้า อัดน้ำมันเบอร์ 2 (ความหนืดเท่าของเดิม) เลื่อนเบ้าลง (ประมาณครึ่งนิ้ว)
โช๊คคู่หลัง อัดน้ำมันเบอร์ 3 (ความหนืดเพิ่มขึ้น 1 step)

มาดูเหตุผลว่าทำไมถึงเป็นสเต็ปนี้

คู่หน้า : ปัญหาด้านหน้าก็มีโช๊คนุ่มไปซุ้มล้อที่สูงกว่าด้านหลังและยังดูสูงเกินไป ผมจึงเลือกที่จะเลื่อนเบ้าลง แต่ยังคงความหนืดไว้เท่าเดิมเพราะว่า เมื่อเราเลื่อนเบ้าลง ค่า K จะลดลง เมื่อเราคงความหนืดไว้เท่าเดิมอาการยวบยาบจากความนุ่มของคู่หน้าก็จะลดลงด้วย กระชับขึ้น และเมื่อค่า K ลดลง จะได้ความเตี้ยเพิ่มอีกหน่อย รวมๆกับการเลื่อนเบ้าแล้วเตี้ยลงราวๆ 1 นิ้ว

คู่หลัง : ปัญหาท้ายเด้งเกิดจาก ตัวโช๊คจับสปริงไม่อยู่ วิธีแก้ก็ง่ายมาก เพิ่มความหนืดขึ้นอีก 1 step เพื่อจับการเด้งของสปริงให้อยู่ ความสูงจะยังคงเดิม แต่ได้ความเตี้ยจากน้ำหนักบรรทุกจึงได้ความพอดีของความสูงที่ต้องการ ท้ายไม่เด้ง ตูดไม่ห้อยแล้ว

เสร็จแล้วก็จะได้ภาพลักษณ์ประมาณนี้ครับ

 

Attached File :

Attached File :

Attached File :

โช๊คเดิม สปิงเดิมหราคับ

อือๆพูดแล้วฟังดูดีมีฐานะ

เจ๋งเลยครับแนวทางนี้

สวดยวดเล๊ย รวกเพ้ 

..

ตามทฤษฏีค่า k มันคงที่นะครับ

F = kx

F/x = k

เมื่อ k คงที่ แต่มีระยะที่ยืดได้มากขึ้นคือ x มากขึ้น ทำให้รับแรง F ได้เพิ่มขึ้นด้วย เลยรู้สึกว่ารถหนึบขึ้น

แนวทางที่ดีสำหรับโชคเดิม

แล้วทำที่ไหนดีระครับแนะหน่อยครับ ขอบคุณ

. .

โลตัสแคลาย อิอิ

ครับมันคือตามทฤษฎีไง ค่า k คือค่าคงที่ และอีกอย่างสปริงที่ผมอ้างถึงคือสปริงหลอดที่ใส่กับโช้คแต่งที่มันขดเล็กๆที่เลือกค่า k ได้
ในความเป็นจริงสปริงที่ผลิตค่า k ก็ไม่ได้คงที่ไปตลอดช่วงการใช้งาน อันนี้ผมละไว้

ค่า f เองก็ไม่ได้คงที่ เพราะรถมีแรงโยกขึ้นลงตลอด ลงคิดดูว่าถ้ายืนอยู่เฉยๆบนตาชั่งเราชั่งได้น้ำหนักมาค่านึง ลองโยกตัวคุณขึ้นลง จะเห็นค่าบนตาชั่งเปลี่ยนไปมาแน่นอน

ออกตัวไว้ก่อนว่า ถกกันเพื่อความรู้นะครับ ถูกผิดผู้อ่านที่สนใจลองค้นคว้าดูต่อเอง

ถ้าคุณเข้าใจว่าระยะเปลี่ยนนิดเดียวแล้ว k เปลี่ยนทันทีอันนี้คุณเข้าใจผิดแล้วนะ ที่ผมบอกว่า k ไม่เท่าตลอดช่วงคือ ถ้ากดสปริงลงไปมากๆเช่น 3-4 นื้วมันจะแข็งขึ้น แต่ถ้า 1 นิ้ว อาจจะไม่เปลี่ยนเลย

แล้วความกว้างของขดสปริงก็มีผลต่อ usable distance ที่ค่า k ควรจะคงที่ สปริงหลอดเล็กๆ อาจจะมี usable distance น้อยกว่าสปริงขดใหญ่

usable distance คือช่วงการยืดหดที่ค่า k ไม่เปลี่ยนแปลง

ผมว่าทุกอย่างที่เปลี่ยนไปมีผลนะ ค่าเค ความกว้าง ความยาวของสปริง น้ำหนักรถที่ไม่เท่ากันของแต่ละคัน การบรรทุก การใช้งานที่แตกต่างกัน ผมขายโช้คปีละประมาณ 50 ชุดทุกวันนี้ผมก็คิดว่าผมไม่รู้อะไร วันนี้ขนสปริงขึ้นรถ 10 คู่พรุ่งไปทะเลาะกับช่างต่อ

จากข้อ 4 ที่พี่ Ton บอกไว้นั้น ผมว่าพี่เข้าใจผิดแล้วนะ

การปรับสูงต่ำของโช๊คที่ไม่มีสไลด์กระบอก สปริงถูกบังคับให้ยึดติดด้วยระยะ rebound ไม่งั้นสปริงจะหลุดเบ้า ถ้าจะปรับสูงต่ำเราต้องปรับจากค่า k ของสปริง 

บีบสปริงเยอะ ระยะสั้นลง ค่า k สูง รถจะสูง
บีบสปริงน้อย ระยะยาวขึ้น ค่า k ต่ำ รถจะเตี้ย

ถ้าพูดภาษาชาวบ้าน การบีบสปริงเปรียบสเหมือนการจำลองแรงกดจากน้ำหนักรถ ตัวอย่างเช่น (เน้นว่าเป็นตัวอย่างเป็นค่าสมมุติไม่มีการคำนวณใดๆทั้งสิ้น)

รถหนัก 1000 กิโล เมื่อเราบีบสปริงขึ้นไปอีก 1 นิ้ว จะสเมือนการจำลองน้ำหนักรถกดทับสปริงลงไปแล้ว 200 กิโล ก็จะสเหมือนว่าน้ำหนักรถลดลงเหลือ 800 กิโล รถก็จะสูงขึ้น

ถ้าพี่บอกว่า พี่สามารถปรับสูงต่ำได้ตามใจโดยที่ค่า k ไม่เปลี่ยน ผมอยากถามว่าพี่ปรับยังไงครับ?

ที่ผมอธิบาย มันฟิสิคส์ ม ปลายนะครับ ผมไม่ได้เถียงแบบเอาประสบการณ์ส่วนตัวมาพูด สิ่งที่น้องคำนวณแสดงว่ายังไม่เข้าใจหลักการทำงานของสปริงและค่า k อย่างแท้จริง เอาเป็นว่าผมขอหยุดเท่านี้ดีกว่า เพราะถกกันไปคนละทางแล้วครับ

ปล สิ่งที่ผมเขียนตอนทำรีวิว swift spring อาจจะไม่ถูกซะทีเดียว เพราะตอนนั้นไม่ได้มานั่งคิดอะไรมากอาศัยความรู้สึกส่วนตัวล้วนๆบวกกับอ่านจากบางเวปไซต์เอา เวปที่อ้างอิงไว้ก็หายไปซะแล้วด้วย แต่ข้อ 4 ถูกตามที่เวปผู้ผลิตให้ไว้แน่นอนอันนี้ไม่ได้มั่ว คำอธิบายก็ได้ให้ไว้แล้ว

ปล 2 อันนี้ไม่เกี่ยวกับเรื่องรถนะ แต่ขอชี้แจงนิดนึงไม่อยากให้จำไปใช้ผิดๆ ค่าคงที่ก็คือค่าคงที่มันจะคงที่เสมอตามสมการ ไม่อย่างนั้นมันจะถูกเรียกว่า "ตัวแปร" ไม่ถูกเรียกว่า "ค่าคงที่" อันนี้ที่ผมเรียนมานะครับ สมการที่น้องอ้างถึง น้องกลับให้ f คงที่แล้วเปลี่ยนให้ k เป็นตัวแปร อันนี้ผิดแน่นอน อธิบายตามทฤษฎีก็คือเมื่อ k คงที่ แรงกระทำ f จะทำให้สปริงเคลื่อนไปเป็นระยะ x

ภาษาชาวบ้านก็คือค่า k เท่าเดิมคือ ถ้ามีแรงมากระทำ 1000 นิวตันจะทำให้สปริงเคลื่อนไป 1 ซม ถ้ามีแรงมากระทำ 800 สปริงจะเคลื่อนไป 0.8 อะไรแบบนี้

ขออภัยสมาชิกด้วยถ้าทำให้ท่านรู้สึกกรำคาญว่าผมจะมาอ้างทฤษฎีอะไรมากมาย ผมขอหยุดแค่นี้ละกันครับ กระทู้นี้ผมก็ไม่ได้ตั้งด้วยจะเป็นการเสียมารยาทเปล่า

ค่า k เป็นค่าคงที่จริงครับ แต่...

ค่า k จะถูกคำนวณจาก การถ่วงน้ำหนักหรือกดน้ำหนัก ในสภาวะที่สปริงอิสระ แต่ในรถ สปริงจะไม่อิสระถูกบังคับระยะสปริงด้วยระยะ rebound ของโช๊ค

ซึ่งความเป็นจริงคือสปริงจะยาวกว่าระยะ rebound มันทำให้สปริงถูกกดอยู่ เมื่อระยะเปลี่ยนไปค่า k ของสปริงต้องถูกคำนวณใหม่ 

เมื่อมีการเลื่อนเบ้า ระยะสปริงจะยาวขึ้น ก็ต้องมีการคำนวณค่า k ใหม่


ผมแนบวิธีคำนวณหาค่า k มาให้ด้วยเผื่อใครจะงง

http://www.atom.rmutphysics.com/charud/virtualexperiment/virtual3/spring/index.html

รู้สึกเหมือนกลับไปเรียนวิชาฟิสิกส์อีกครั้งชอบๆ

ถกประเด็นกันได้สนุกมากอ่านแล้วได้ความรู้ไม่เครียดเลยชอบมากต่างจากกระทู้อื่นที่ถกกันนอกประเด็นเอาแต่ความรู้สึกส่วนตัวมาพูดกันอ่านแล้วเครียดขอบคุณท่านเจ้าของกระทู้มากครับอ่านแล้วรู้สึกว่าอยากหยิบฟิสิกส์มานั่งคำนวณเลยครับชอบครับกระทู้ดีได้ความรู้มีสาระครับ

กระทู้นี้คงไม่ยาว ถ้าวันนั้นไอสไตร์ไปนอนใต้ต้นทุเรียน

ยิ่งอ่านนิ่งปวดหัว