ไปอ่านเจอข้อมูลดี ๆ มา เลยอยากเอามาเก็บไว้ที่ CIVICESGROUP มั่ง
สำหรับทำความเข้าใจ "ความแรง" เบื้องต้น
หากซ้ำก็ขออภัยละก็ลบได้เลยครับ
-------------------------------------------------------------------------------------------
ช่วงนี้กระแสแต่งเครื่องยนต์มาหลากหลายเหลือเกิน ไม่ว่าจะโมเครื่องเดิมหรือลงเครื่องใหม่
ในฐานะที่เคยซ่ามาบ้างตอนเด็ก ๆ ก็อยากจะเอาข้อมูลมาแบ่งให้ฟังกันบ้างครับ
ก่อนอื่น เราต้อง เข้าใจความหมายของคำว่า ?ความแรงเครื่องยนต์? กันก่อนว่ามันคืออะไร บ้างก็ว่า ?แรงม้าสูงสุด? บ้างก็ว่า ?แรงบิด? ก็หลายตำราครับ แต่ผมอยากจะบอกให้ฟังไว้คร่าวว่า ๆ ความแรงของรถที่สัมผัสได้ง่ายที่สุดคือ ?แรงม้าต่อน้ำหนัก? เพราะนั่นคือ Power ของเครื่องยนต์โดยตรงเทียบกับภาระโดยตรง โดยแรงม้าต่อน้ำหนักจะบอกได้ชัดเจนว่า ม้าแต่ละตัวของเครื่องยนต์นั้น ๆ มีภาระมากขนาดไหน เช่น
Civic 2.0 มี 155 แรงม้า น้ำหนักตีไป 1200 แรงม้าต่อน้ำหนัก 7.7KG/ 1 แรงม้า
Civic 1.8 มี 140 แรงม้า น้ำหนักตีไปสัก 1150 แรงม้าต่อน้ำหนัก 8.2 KG/ 1 แรงม้า
แคมรี่ 2.0 มี 147 แรงม้า น้ำหนักน่าจะสัก 1450 แรงม้าต่อน้ำหนัก 9.9 KG/ 1 แรงม้า
จากตรงนี้จะเห็นได้ชัดว่าแม้ Civic 2.0 กับ แคมรี่ 2.0 จะมีขนาดเครื่องเท่ากัน แต่ก็มีภาระต่างกันเยอะ ม้า 1 ตัวของซีวิคแบกน้ำหนักรถที่น้อยกว่าถึง 2 กิโลกว่า ทำให้วิ่งได้ดีกว่า หรือแม้แต่ซีวิค 1.8 เองก็วิ่งดีกว่าแคมรี่ 2.0 ที่มีแรงม้ามากกว่าเช่นกัน เพราะภาระต่อแรงม้ามันน้อยกว่าเป็นโลเหมือนกัน และนี่คือสิ่งที่บอกว่าจำนวนแรงม้าสูงสุดไม่ได้ตัวบ่งบอกความแรงเสมอไป ซีวิค 2.0 ถึงสามารถไล่จิกรถยุโรปใหญ่ ๆ แต่เครื่องเล็กได้สบายเท่า ก็เพราะว่า ภาระดังกล่าวมันน้อยกว่านั่นเอง
จะดูแรงม้าอย่างเดียวก็ไม่ได้ ต้องดูแรงบิดด้วย เพราะมีผลกับอัตราเร่งโดยตรง แต่ทีนี้รถบางคันมันมีแต่แรงม้ามากมาย ไม่มีแรงบิดรอบต่ำเลย ขับยากครับ เช่น Mazda RX-8 แรงบิดน้อยมาก แต่ปั่นแรงม้ามาได้เรื่อย ๆ จากรอบเครื่องโรตารี่ แรงบิดก็พอตามมาด้วยแต่ก็มาที่รอบสูงมาก ขับในเมืองรอบต่ำหงุดหงิดครับ ต้องใช้รอบถึงจะมีแรง ยิ่งเกียร์ออโตยิ่งเหลือทน..... อันนี้ก็ต้องระวังเหมือนกัน
ทีนี้ถ้าแรงม้าต่อน้ำหนักใกล้เคียงกันล่ะ??????
ตรงนี้ต้องมาดูกันละเอียดขึ้นครับ โดยอาจจะต้องดูจากกราฟของแรงม้าและแรงบิดว่าเป็นอย่างไร โดยสิ่งนึงที่จะถูกนำมาพิจารณาคือเรื่องของ Powerband หรือช่วงการทำงานของเครื่องยนต์นั้น ๆ ครับ ว่าเป็นอย่างไร
อย่างถ้ารถสองคันน้ำหนักเท่ากัน แรงม้าเท่ากัน แต่คันนึงมีแรงม้าสูงสุดที่ 4500 รอบ ในขณะที่อีกคันมีแรงม้าสูงสุดที่ 7000 รอบ ก็หมายความว่า รถคันแรกมีแนวโน้มที่จะมีอัตราเร่งที่ดีกว่าในช่วงต้น ใช้งานง่ายกว่า เรียกกำลังง่ายกว่า เร่งแซงดีกว่า แต่ความเร็วสูงสุดอาจจะได้พอกันก็ได้ครับ ต้องมาดูที่เกียร์ด้วยว่าเป็นไง เพราะรถบางคันที่มีแรงม้าไม่เยอะมากนัก และมี***ส่วนแรงม้าต่อน้ำหนักที่สูง มักจะทำอัตราทดเกียร์ให้สูง เพื่อเพิ่มอัตราเร่งในช่วงต้น (เช่น แคมรี่ 2.0) แต่ก็แปลว่าต้องใช้รอบสูงเกือบตลอด ไม่ค่อยประหยัดเท่าไรครับ
แล้วความแรงของเครื่องยนต์จะได้มาจากไหน????
โดยปกติแล้ว ความแรงของเครื่องยนต์เป็น***ส่วนโดยตรงกับขนาดของเครื่องยนต์ครับ ยิ่งใหญ่ก็ยิ่งแรง ว่างั้นเหอะ เพราะเครื่องที่ใหญ่กว่า สามารถนำ ?ไอดี? หรือน้ำมันกับอากาศ เข้าสู่ห้องเผาไหม้ได้มากกว่าเครื่องยนต์ที่เล็กกว่า เมื่อมี ?ไอดี? ที่มากขึ้น การจุดระเบิดก็รุนแรงขึ้น ได้พลังงานออกมามากขึ้น แปลงเป็น Output ที่ได้มากขึ้น
แต่เครื่องที่เล็กก็สามารถมี ?ตัวช่วย? ที่ทำให้สามารถนำไอดีเข้าไปสู่ห้องเผาไหม้ได้มากกว่าปกติ ก็เช่น การเปลี่ยนแคม เพื่อให้วาล์วเปิดนานขึ้น เปิดเร็วขึ้น ปิดช้าลง ไอดีที่ไหลไปในห้องเผาไหม้ขนาดเดิมก็จะมีมากขึ้น กำลังอัดก็จะสูงขึ้น ได้ Output ที่มากกว่าเครื่องขนาดเดียวกันที่กำลังอัดต่ำกว่า แต่การเปลี่ยนแคมองศาสูงมักจะมีข้อจำกัดในแง่ของกำลังในรอบต่ำ เดินเบาไม่ค่อยได้ ต้องรอรอบกว่าจะเริ่มมีแรงม้า ก็ทำให้เป็นที่มาของการออกแบบแคมชาฟท์แบบปรับองศาและระยะยกของวาล์วได้ หรือเทคโนโลยี ?วีเทค? นั่นเอง ซึ่งต่อมาได้มีการพัฒนาต่อมาเรื่อย เป็น ?วีเทค? แบบประหยัด แบบ แรง อะไรกันมากมายไปหมด และก็มีหลายยี่ห้อที่เริ่มใช้กันมาเรื่อย ๆ เช่น VVT-I, S-VT, Vanos, แต่จุดประสงค์เดียวกัน คือ ใช้งานไอดีให้คุ้มที่สุด ถ้าอยู่ในรถแรงก็จะแรงที่สุด ถ้าอยู่ในรถบ้าน (แบบ FD) ก็จะเน้นประหยัดไว้ก่อน
อีกตัวช่วยหนึ่งในการสร้างความแรงโดยไม่เพิ่มซีซีก็คือ การใช้ เทอร์โบ ครับ โดยอาศัยพลังงานของท่อไอเสียมาปั่นกังหันที่สามารถอัดอากาศเข้าสู่ห้องเผาไหม้ได้มากกว่าปกติ (ปกติปริมาณอากาศที่จะเข้าห้องเผาไหม้ขึ้นอยู่กับการดูดของลุกสูบ และความเร็วในการไหลของไอดีและไอเสีย ถ้าไอเสียออกเร็ว ไอดีก็เข้าได้เร็ว ท่อไอเสียดี ๆ ถึงช่วยเรื่องอัตราเร่งได้) แต่เครื่องเทอร์โบจะมีความหนาแน่นของไอดีในห้องเผาไหม้สูงมาก ๆ และต้องการการออกแบบที่ไม่เหมือนเครื่องยนต์ธรรมดา การเอาเครื่องยนต์ธรรมดาไปติดเทอร์โบจึงต้องมีการปรับแต่งให้รับกับแรงอัดและแรงม้าที่เพิ่มมากขึ้น เช่น เสริมประเก็น จูนกล่อง (เพื่อเพิ่มน้ำมันให้เหมาะสมกับอากาศที่มากขึ้น) บางทีอาจจะต้องทำคลัทช์ด้วย รถเซทเทอร์โบหลายคัน เกียร์ติดรถต้องลาจากไปก่อนเวลา เพราะรับแรงม้าที่มากขึ้นไม่ไหวก็มีมากเอาการครับ
รถซีวิคเดิม ๆ ทำอะไรให้แรงได้บ้าง???
มันก็ต้องมานั่งดูล่ะครับ ว่า ?แรง? เนี่ยหมายถึงอะไร เอาอัตราเร่งที่ดีขึ้นหรือเอาความเร็วสูงสุดที่มากขึ้น เพราะความแรงมันวัดได้หลายแบบ อัตราเร่ง 0-100 อัตราเร่งแซง ความเร็วสูงสุด แต่ส่วนมากเห็นจะไปเน้นที่ความเร็วสูงสุดกันมากนัก ซึ่งผมไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไร เพราะมันไม่ค่อยได้ใช้ และการเพิ่มความเร็วสูงสุดจากเดิม ๆ 200 หน่อย ไปได้ 210 บ้าง 215 บ้างแต่ต้องลากกันหลายกิโล ลุ้นกันแทบตาย ผมก็ไม่เห็นด้วยเช่นกัน ปล่อยให้มันเป็นผลพลอยได้จากความแรงด้านอื่น ๆ ทีได้ใช้ในชีวิตประจำวันน่าจะดีกว่า
จะเล่นง่ายก็ลดน้ำหนักครับ เอาของที่ไม่จำเป็นออกไปให้หมด ใส่ล้อเบา ๆ หรือจะเจาะประตูให้พรุนก็ไม่ว่ากัน อันนี้แม้แรงม้าจะเท่าเดิม แต่น้ำหนักรถลดลง ก็จะได้อัตราส่วนแรงม้าต่อน้ำหนักที่ดีขึ้น ก็ได้อัตราเร่งที่ดีขึ้นได้ แต่ผมว่าลำบากไปหน่อย เอาเป็นว่ากรองอากาศดี ๆ สักชุด ก็ต้องเลือกเอาว่าจะแบบเปลือยหรือไม่เปลือย เพราะกรองเปลือยมันโล่งจริง ๆ จะทำให้ความเร็วในการไหลของไอดีในรอบต่ำลดลง รอบต้นอาจจะแผ่วลงได้ แต่ถ้าเป็นกรองแบบเอาใส่แทนของเดิมจะโล่งขึ้นและยังคงรักษาระบทางเดินไอดีทั้งหมดไว้ได้ ซึ่งตรงนี้จะช่วยมากในช่วงรอบต่ำถึงกลาง เพราะเครื่องยนต์จะไม่ดูดอากาศร้อน ๆ ในห้องเครื่องเข้าไป (อากาศร้อนจะความหนาแน่นน้อยกว่าทำให้มีมวลของอากาศน้อยกว่าอากาศที่เย็นกว่า เวลาเราวิ่งตอนหน้าหนาว รถถึงแรงกว่าหน้าร้อน) แต่กรองเปลือยก็จะได้เปรียบเวลาวิ่งเร็ว ๆ รอบสูง ๆ เพราะอากาศจะไม่มีการอั้นเลย
ท่อไอเสียก็เช่นกันครับ อย่าให้มันโล่งมากไปนัก โล่งมากไป ไอเสียจะความเร็วลดลง ทำให้วิ่งได้ช้า ไอดีก็จะวิ่งได้ช้าลง ตอบสนองแย่ลงครับ ส่วนพวกกราวนด์ไวร์ คาปาซิเตอร์ หัวเทียนต่าง ๆ ผมไม่ค่อยเชียร์เท่าไร คือผมว่าแม้มันไม่มีผลเสีย และก็ดี เพราะทำให้ของทุกอย่างทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ รักษาความสมบูรณ์แบบไว้ได้ไม่มีตกหล่น แต่จะ ?เพิ่ม? ได้ไหม นั่นอีกเรื่องครับ แต่ถ้ารถเก่าผมสนับสนุนให้ทำครับ เพราะมันจะได้ไปช่วยของติดรถที่เสื่อมสภาพไปบ้างนั่นเอง .......
-------------------
Credit : CFDT