Rangsit 33 พิมพ์ว่า: |
..... แค่นี้ก็ต้องถาม ![]() ![]() ..... เอางี้พี่....ง่ายๆเลยนะ v v v v ....ถ้าเป็น 4 รู หรือ 5 รู 100 ....จะดีกว่า......... มันจะแบบ ลงตัวอะ...... ..... 4 รู......จารูละ ยี่สิบห้า............แต่ถ้า 5 รู......จาเหลือรูละยี่สิบ......ซื้อเยอะ ลดเยอะ ทำมาดา ... แหะๆๆmrgreen: ![]() ![]() ![]() |
kaisuh พิมพ์ว่า: |
แล้วถ้ารูเดียว?????? |
KUSA พิมพ์ว่า: |
เอาแบบคร่าวๆนะครับ ให้นึกหลักโมเมนต์ หรือ คานดีด-คานงัดนะครับ
ล้อที่มี PCD ที่กว้างกว่า จะมีความแข็งแรง รับน้ำหนัก บรรทุกได้มากกว่า เพราะการกระจายแรงเข้าสู่ดุมล้อจะดีกว่า รวมทั้งความแข็งแรงของล้อก็จะมากกว่าด้วย ให้สังเกตรถกระบะทั่วไปนะครับ จะใช้ ที่ 139.7 มีนัท 6 ตัว แล้วดูที่รถสิบล้อนะครับ จะอยู่ เกือบกึ่งกลางวงล้อแล้ว ส่วนข้อดีอีกอย่างคือ เมื่อดุมล้อมีขนาดใหญ่ ก็สามารถเลือกใช้ลูกปืนล้อที่มีขนาดใหญ่กว่าได้ แต่ข้อเสียคือ เพลาล้อก็จะมีขนาดใหญ่กว่า ซึ่งจะเปลืองกำลังฉุดของเครื่องยนต์มากกว่าครับ ผิดพลาดประการใด ไปโทษคนอื่นนะครับ พี่ฟาน |
KUSA พิมพ์ว่า: |
ไม่รู้หมายถึงรูอะไร อิอิอิ แต่มีนะ แบบล้อ F1 แบบนี้ดีคือ Service ได้ง่าย |
bandai_join พิมพ์ว่า: |
++++ จากความเข้าใจส่วนตัวนะครับ ++++
เป็นระยะ ระหว่างรูน็อตแต่ล่ะรูครับ โดยวัดจากจุด ศูนย์กลางของรูน็อต เรียกว่า PCD ที่ขนาดไม่เท่ากันเพราะ ในการออกแบบลายล้อ (ต้องคำนึงถึงรูน็อต) น่าจะต้องดูด้วยว่าลายล้อแต่ละรุ่นนั้น สามารถ จัดเรียงตัวรูน็อตได้กี่รู และขนาดเท่าไหร่ ถึงจะทำให้ ได้จุดศูนย์กลางที่เหมาะสม ล้อบางรุ่นบางลายอาจจะมี 2 PCD ใน 1 วง ก็ได้ แต่จำนวนรูน๊อต ก็จะเยอะครับ อย่างเช่น ล้อลาย A มี 2 PCD คือ 4 รู 100 กับ 5 รู 114 ฉะนั้น ล้อลาย A ก็จะมีรูน็อ ตทั้งหมด 9 รูด้วยกัน ประมาณนี้มั๊งครับ ถ้าผิดถูกยังไง ก็รอ กูรู ทั้งหลายมา ตอบอีกทีครับ ปล. แม้จะอยู่โรงงานทำล็อแม็ก แต่ ไม่ได้อยู่ในสายการผลิต ความรู้เรื่องล้อเลยน้อย อิอิ |
iMan พิมพ์ว่า: |
ตามนี้ครับพี่ หามาให้เลย
ในอดีตที่ผ่านมาก็มีผู้ผลิตรถยนต์ หลายค่ายทั้งเอเชีย, ยุโรป หรือ อเมริกา เองก็ดี ได้ทำการคิดค้นและออกแบบแตกต่างกันออกไป ตามแต่ความคิดอ่าน ของแต่ละค่าย ซึ่งสันนิษฐานว่าในอดีตกาล เขาใช้หน่วยเป็นนิ้ว แต่ต่อมา ในบางประเทศที่คุ้นเคยกับระบบเมตริก ก็มักใช้หน่วยเป็นมิลลิเมตรแทน จึงมีการเรียกแตกต่างกันไป แต่จริงแล้ว ค่าของ PCD ก็มีที่มาจากที่เดียวกันนั่นเอง P.C.D. มีอยู่ 2 ประเภท คือ 1. Single P.C.D. มีค่า P.C.D. เพียงค่าเดียวเท่านั้น จึงสามารถใช้ได้กับรถเฉพาะรุ่น เช่น ล้อที่มีค่า P.C.D. 4-100 ก็จะมีรู P.C.D. 4 รู 2. Multiple P.C.D. มีค่า P.C.D. 2 ค่า จำนวนรู P.C.D. ก็จะมีมากกว่า Single P.C.D. ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะผู้ผลิตต้องการให้ล้อรุ่นดังกล่าวสามารถใส่กับรถได้หลากหลายรุ่นซึ่งมีจำนวนรู P.C.D. ไม่เท่ากัน เช่น ในล้อที่มี P.C.D. 4-100/114.3 ก็จะมีรู P.C.D. 8 รู หรือ 5-100/114.3 ก็จะมีรู P.C.D. 10 รู เป็นต้น รถยนต์ขนาดเล็กมักมี 4 รูน๊อตต่อ 1 ล้อ และรถยนต์ขนาดใหญ่ขึ้นไปมักมี 5 - 6 รูน๊อต เพื่อความแน่นหนาในการยึดล้อเข้ากับดุมล้อ ร ะ ย ะ พี.ซี.ดี (P. C. D) P.C.D. ย่อมาจาก PITCH CIRCLE DIAMETER หมายถึง ระยะห่างของรูน๊อตบนตัว ล้อแม็กซ์ โดยวัดจากกึ่งกลางรูน๊อตทุกตัวลากเส้นเป็นวงกลม แล้ววัดผ่าน เส้นผ่าศูนย์กลาง มีหน่วยเป็นมิลลิเมตร ถ้าเป็นจำนวนเลขคู่ 4 หรือ 6 รูน๊อตต่อ 1 ล้อ ก็สามารถวัดจากกึ่งกลางรูน๊อตด้านหนึ่งไปยังด้านตรงข้ามได้เลย แต่ถ้าเป็นจำนวนเลขคี่ 3 หรือ 5 รูน๊อต ต้องวัดจากแนววงกลมกึ่งกลางรูน๊อตผ่านเส้นผ่าศูนย์กลาง การวัดระยะ PCD ด้วยตนเอง หากเราต้องการทราบว่า ล้อแม็ก ของเรานั้น มีระยะ PCD เท่าไร ? เราสามารถวัดได้ด้วยวิธีง่ายๆ ดังต่อไปนี้ ก่อนอื่นก็ต้องมี อุปกรณ์ ที่ต้องใช้วัด เช่น ไม้บรรทัด หรือ ตลับเมตร ก็ได้เช่นกัน ล้อ 4 รู / 8 รู การวัดสามารถวัดโดย วัดที่หน้าแปลนของ ดุมล้อ ด้านหลัง โดยทาบไม้บรรทัด จากจุด (A) ไปถึงจุด (B) ดูระยะว่าเป็นเท่าไร เช่น อ่านค่าได้เท่ากับ 100 มม. นั่นก็คือระยะ PCD ของ ล้อแม็กซ์ วงนั้น นั่นเอง ล้อ 5 รู / 10 รู การวัดสำหรับ ล้อแม็ก ที่มี 5 รู หรือ 10 รู นั้น ต้องมีการคำนวนเล็กน้อย (A) คือ ระยะของเส้นผ่าศูนย์กลาง ของรูดุมล้อ Center Bore (B) คือระยะระจากขอบรู ดุมล้อ กับขอบรูยึดน๊อต (C) คือ ระยะของเส้นผ่าศูนย์กลาง ของรูยึดน๊อต สูตรการคิด ระยะ PCD = ( A หาร 2 ) + B + ( C หาร 2 ) ตัวอย่าง A = 110, B = 117 และ C = 13 ( 55 ) + (57.5) + ( 6.5 ) รวมแล้ว = 120 ดังนั้นตัวเลขที่ได้ก็คือ ค่า PCD นั่นเอง ล้อ 6 รู การวัดสำหรับ ล้อแม็ก 6 รู จะคล้ายกับ 4 รู โดยวัดในแนวเส้นตรงจากขอบด้านในของรูยึดน๊อต ตรงมายังขอบด้านนอกของรูยึดน๊อตฝังตรงข้าม ผ่านรู ดุมล้อ ทำการวัดจากจุด (A) มายังจุด (B) อ่านค่าได้เท่าไร ก็คือ ค่า PCD นั้นเอง |
hacker พิมพ์ว่า: |
ทำไมพี่ไม่ถาม 6 รูด้วยละ ถามทั้งที
ไว้เจอกันผมอธิบายให้ละเอียดเลย..... เอาไอ้บอสไปอธิบายด้วย |
KUSA พิมพ์ว่า: |
เอาแบบคร่าวๆนะครับ ให้นึกหลักโมเมนต์ หรือ คานดีด-คานงัดนะครับ
ล้อที่มี PCD ที่กว้างกว่า จะมีความแข็งแรง รับน้ำหนัก บรรทุกได้มากกว่า เพราะการกระจายแรงเข้าสู่ดุมล้อจะดีกว่า รวมทั้งความแข็งแรงของล้อก็จะมากกว่าด้วย ให้สังเกตรถกระบะทั่วไปนะครับ จะใช้ ที่ 139.7 มีนัท 6 ตัว แล้วดูที่รถสิบล้อนะครับ จะอยู่ เกือบกึ่งกลางวงล้อแล้ว ส่วนข้อดีอีกอย่างคือ เมื่อดุมล้อมีขนาดใหญ่ ก็สามารถเลือกใช้ลูกปืนล้อที่มีขนาดใหญ่กว่าได้ แต่ข้อเสียคือ เพลาล้อก็จะมีขนาดใหญ่กว่า ซึ่งจะเปลืองกำลังฉุดของเครื่องยนต์มากกว่าครับ ผิดพลาดประการใด ไปโทษคนอื่นนะครับ พี่ฟาน |
vee_ACC-ES-S พิมพ์ว่า: | ||
ดูเหมือนมีสาระ ผมตั้งใจอ่านตั้งนาน ฮ่า ๆ |
ไปที่: |