gahn27 พิมพ์ว่า: |
สมมุติว่า แก๊สแพงขึ้นมาจริงๆ ผมว่าพวกร้านที่รับติดแก๊ส หรือพวกบริษัทที่นำเข้าอุปกรณ์ติดแก๊ส มันจะยอมหรือครับ
เพราะถ้าแพงคนก็ไม่ไปติด ร้านก็เจ๊งดิแบบนี้ ยังไงๆ ผมว่างานนี้คงมีการวิ่งเต้นกันเยอะละ เผลอๆ ถึง กันยา 54 ก็จะตรึงต่อไปเรื่อยๆ ![]() |
THAM พิมพ์ว่า: |
รัฐบาลชุดไหนขึ้นภาคขนส่งและครัวเรือน มีหวังคะแนนเสียงลดฮวบแน่ ![]() ![]() |
egong พิมพ์ว่า: |
มันตลกดีครับลองคิดเล่นๆนะครับว่าแก๊สถือเป็นพลังงานทางเลือก
เมื่อคนหันมาติดแก๊สกันมากขึ้นแล้วปริมารการใช้น้ำมันไม่ลดลงบ้างเหรอครับ แท็กซี่ก็ใช้ CNG เกือบทั้งหมด รถบ้านก็มีทั้ง LPG/CNG ที่จะขึ้นราคาแก๊สก็อ้างว่าปริมาณการผลิตในประเทศไม่พอใช้ต้องนำเข้า แล้วตอนที่น้ำมันดิบในตลาดโลกราคาถูกเหมือนขี้ก็อ้างว่าซื้อขายแบบล่วงหน้า จนถึงทุกวันนี้เราก็ยังไม่เคยได้ใช้น้ำมันถูกเลยหรือว่าตอนที่น้ำมันดิบราคาถูก ปตท ไม่ซื้อครับ ทุกวันนี้ก็ยังเก็บเงินชดเชยเข้ากองทุนน้ำมันทุกเดือนก็ไม่รุ้ว่าอยู่ในกระเป๋าใครบ้าง ประชาชนตาดำๆอย่างเราก็ก้มหน้าก้มตารับกรรมกันไปครับพี่น้อง.... ![]() |
kloster พิมพ์ว่า: |
กำ จะเพิ่มภาษีป้ายด้วยสิครับ
----------------------------- โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 28 เมษายน 2554 00:02 กพช.สั่งคมนาคมเก็บภาษีเพิ่มรถยนต์ใช้ก๊าซ "แอลพีจี" หวังลดภาระอุ้มแอลพีจีภาคขนส่ง พร้อมประกาสลอยตัวก๊าซแบบขั้นบันได 4 ไตรมาส 1 ปี โดยปรับขึ้นไตรมาสละ 3 บาทต่อกิโลกรัม หรือเดือนละ 1 บาทต่อกิโลกรัม เริ่มเดือน ก.ค.นี้ พร้อมตรึงราคาแอลพีจีครัวเรือน-ขนส่งฯ และก๊าซเอ็นจีวี ต่อไปจนถึงเดือน ก.ค.นี้ เช่นกัน เปิดช่องให้กองทุนน้ำมันฯ กู้เงินช่วยตรึงราคาพลังงาน หากเกิดวิกฤตน้ำมันแพงในช่วงเปลี่ยนรัฐบาล นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) วานนี้ ที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน มีมติเห็นชอบให้กระทรวงคมนาคมไปพิจารณาปรับเพิ่มภาษีป้ายทะเบียนรถยนต์ ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลพีจี) เป็นเชื้อเพลิง เนื่องจากปัจจุบันมีการนำเข้าแอลพีจีเพิ่มขึ้นและเป็นภาระการชดเชยของรัฐบาล ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการนำไปใช้ในภาคขนส่ง ที่ประชุมจึงมีนโยบายให้ชะลอการใช้แอลพีจี ในภาคขนส่งโดยนำมาตรการภาษีมาใช้ นายแพทย์วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ที่ประชุม กพช. มีมติให้ทะยอยปรับขึ้นราคาก๊าซแอลพีจีภาคอุตสาหกรรม ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2554 นี้ โดยจะปรับขึ้นแบบขั้นบันได ไตรมาสละ 1 ครั้ง ครั้งละ 3 บาทต่อกิโลกรัม เป็นเวลา 1 ปี หรือจำนวน 4 ไตรมาส คิดเป็นเงิน 12 บาทต่อกิโลกรัม เพื่อให้สอดคล้องกับการที่รัฐชดเชยให้อยู่ในปัจจุบัน ส่วนราคาแอลพีจีภาคครัวเรือนและขนส่งให้ตรึงราคาต่อไปจนถึงเดือนกันยายน 2554 จากเดิมที่จะครบกำหนดมาตรการในช่วงเดือนมิถุนายน 2554 นี้ เช่นเดียวกับราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (เอ็นจีวี) ถูกตรึงไว้ที่ 8.50 บาทต่อกิโลกรัม โดยรัฐจ่ายชดเชยให้ 2 บาทต่อกิโลกรัม ขณะเดียวกัน ก็ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงคมนาคมไปพิจารณามาตรการทางด้านภาษีป้าย สำหรับรถยนต์ที่ดัดแปลงเครื่องยนต์มาใช้แอลพีจี เพื่อควบคุมการขยายตัวของปริมาณการใช้แอลพีจีในภาคขนส่ง พร้อมกันนี้ ที่ประชุม กพช. ยังได้วางกรอบแนวทางการช่วยชดเชยราคาพลังงานฉุกเฉินในช่วงเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ เพื่อป้องกันกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงขาดสภาพคล่อง โดยให้สถาบันบริหารกองทุนน้ำมันพลังงาน องค์กร (มหาชน) หรือ สบพ. สามารถกู้เงินมาใช้พยุงฐานะกองทุนน้ำมันเป็นการชั่วคราว วงเงินเบื้องต้น 20,000 ล้านบาท ส่วนที่ไม่เลือกใช้แนวทางการขอจัดสรรงบประมาณกลางปีมาใช้นั้น เนื่องจากล่าสุดงบประมาณกลางเหลืองบเพียงแค่ 1,000 ล้านบาทเท่านั้น "หากเกิดกรณีฉุกเฉิน ช่วงสุญญากาศ ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกพุ่งสูงขึ้นเกินกว่า 110 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล กองทุนน้ำมันเชื่อเพลิงไม่สามารถดูแลราคาพลังงานได้ เพราะจะทำให้กองทุนน้ำมันฯ ติดลบ ขณะที่สถานะล่าสุด กองทุนน้ำมันฯ เหลือเงินเพียง 3 พันล้านบาท ที่จะใช้ดูแลพลังงาน ดังนั้น ที่ประชุม กพช. จึงมีอนุมัติหลักการณ์ให้กองทุนน้ำมันฯ สามารถกู้ยืมเงินใช้ชั่วคราว" ทั้งนี้ การของบประมาณกลางปี 2554 ไม่สามารถทำได้ เพราะเหลืองบฯ ค่อนข้างน้อยกว่า 6 พันล้านบาท ต้องเห็บไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน เช่น ช่วยเหลือเหตุการณ์น้ำท่วม แผ่นดินไหว เป็นต้น นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้อนุมัติให้เลื่อนการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ออกจากแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า(พีดีพี 2010) เป็นเวลา 3 ปี จากเดิมที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์โรงแรกจะเข้าระบบปี 2563 เนื่องจากไทยยังไม่พร้อมในเรื่องของการยอมรับจากชุมชนและข้อกฎหมายในการรองรับ ขณะเดียว กพช.ยังได้เห็นชอบโครงสร้างค่าไฟฟ้าใหม่ที่จะใช้ในช่วงปี 2554-2558 โดยในส่วนของผู้ใช้ไฟฟ้าฟรี 90 หน่วยต่อเดือนนั้น จะเริ่มมีผลในเดือนกรกฎาคม 2554 นี้ ส่วนผู้ใช้ไฟฟ้าที่อยู่ในภาคอุตสาหกรรมจะมาร่วมรับภาระ ยกเว้นผู้ใช้ไฟเอสเอ็มอี เบื้องต้นจะนำเงินที่เรียกเก็บคืนจาก 3 การไฟฟ้าที่ไม่ได้ลงทุนจริงในช่วงปี 2551-2553 วงเงิน 9 พันล้านบาทมาช่วยชดเชยค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) ให้ก่อน ที่มา http://www.manager.co.th/Business/ViewNews.aspx?NewsID=9540000052023 ------------------------ |
ไปที่: |