รถผมปี 04 1.7VTEC ปัญหาคือจอดข้ามคืนสตาร์ทไม่ติด ต้องพ่วง เป็นแบบนี้ 3 วัน ก็เลยลองฉีดน้ำมัน WD40 ที่ขั้ว 2 คืนก็สตาร์ทติด พอวันที่ 3ก็ สตาร์ทไม่ติดอีกแล้ว เลยตัดสินใจไปเปลี่ยนแบตใหม่ ก่อนเปลี่ยนใช้Boliden แบบไม่เติมน้ำกลั่น ลูกนี้เคลมมาไม่ถึง 6 เดือน แต่ก่อนจะเปลี่ยนทางร้านก็เช็คไฟรั่ว ไฟชาร์จ ก็ไม่พบปัญหา แต่ก็ตัดใจเปลี่ยน ๆ เป็น Panasonic 12V-45A ลูกสีดำไม่ต้องเติมน้ำกลั่นเหมือนเดิมใช้ไปได้ สองวันไม่มีปัญหา พอวันเสาร์ที่ผ่านมา สตาร์ทรถจะออกจากบ้าน บ่ายโมง(จอดตั้งแต่ทุ่มครึ่ง) ..ไม่ติดซะแล้ว ก็เลยขับไปร้านไดฯหน้าบ้าน ที่ร้านบอกว่าไดฯทำงานปกติแล้วช่างบอกว่าแบตฯประเภทนี้ไม่ดีให้ใช้แบบธรรมดา ...แล้วก็เลยขับไปร้านที่เปลี่ยนแบตฯ...ก็ทำการเช็คโน่นนี้ แล้วสรุปว่า ไดชาร์จไม่ชาร์จไฟ ช่างเค้าตั้งข้อสงสัยอีกอย่างว่าเครื่องสั่น (แต่รอบเดินเบาปกติ) ก็เลยกลับมาให้ช่างไฟหน้าบ้านถอดไดฯออกมาเช็ค..ก็แค่ถ่านบางลง(ก็ไม่เกี่ยวกับปัญหาหรอก)ไหนๆก็ถอดแล้วก็ให้เปลี่ยนไป พอเช้าวันอาทิตย์ก็เช่นเดิมคือสตาร์ทไม่ติด ก็ต้องพ่วงแล้วติดเครื่องสักพักใหญ่แล้วก็ลองถอดขั้วไฟออกตอน 10โมง แล้วมาใส่ขั้วติดเครื่องอีกที 2ทุ่มก็ติด แล้วใช้รถกลางคืนเปิดไฟ อีกชั่วโมงกว่า ถึงบ้านก็ถอดขั้ว เช้ามาก็ยังติดเครื่องได้...ตกลงมันเป็นไรนี่ ต้องเปลี่ยนต้องทำยังไง ผู้รู้จริงช่วยแนะนำหน่อย หรือช่างที่ไหนเก่งเรื่องไฟรถ ก็ช่วยกันด้วยครับ
ปล.เครื่องเสียงเดิม ,ติด LPG กว่าปีแล้ว

ตามนั้นเลยครับ

ไฟรั่วลงกราวน์ป่ะคับ

ผมตั้งข้อสังเกตุ ตรงที่ว่า พอถอดขั้วทิ้งไว้ แล้วเช้ามาค่อยใส่กลับ ก็สตาร์ทติด อะครับ

มีอุปกรณ์บางอย่าง มีไฟรั่วหรือเปล่าอะครับ ถ้าเราใส่ขั้วแบตไว้ แล้วมันใช้ไฟตลอดเวลา
พอเราจอดนาน ๆ ไฟก็เลยหมดอะครับ

ลองดูนะครับ ไม่รู้จะเกี่ยวหรือเปล่าครับ

เพิ่งเปลี่ยน reley คืนวันพุธเฝ้าดูอาการอีกรอบ เพราะคืนวันจัน อังคาร ยังไม่ได้เปลี่ยนแต่ก็สตาร์ทติด
พอเปลี่ยนแล้วก็มีอาการอื่นอีก จู่ๆไฟหน้ารถหน้าปัดก็ดับหมดขณะใช้งานต้องปิดสวิตช์แล้วเปิดใหม่ เป็นแบบนี้สองรอบในคืนเดียว

reley ตัวละ 80 บาท

สรุปลงเอยยังไงอ่ะ...ตอนนี้รถมีอาการเหมือนกันค่ะ ที่ศูนย์บอกจะเปลี่ยน reley ให้ใหม่ตัวละประมาณ 500 บาท จอดทิ้งไว้ทั้งวันแล้วยังไม่โทรมาแจ้งอะไรเลย ทำไมเช็คอาการนานจัง ท่านอื่นเคยเจอแบบนี้บ้างมั๊ยคะ

เปลี่ยนรีเลย์คอมแอร์ครับ หายชัว ผมเพิ่งเปลี่ยน อาการแบบคุณเลย ตอนแรกเปลี่ยนแบต ต่อมาเปลี่ยนไดชาร์ต สุดท้ายเปลี่ยนรีเลย์ หายครับ เหอๆ โดนไปเยอะ

รับทราบ เก็บข้อมูล...ขอบคุณสำหรับความรู้ครับ

พรุ่งนี้จะลองเปลี่ยนค่ะ

ตอนนี้กำลังเป็น แม้แต่ไฟหน้าปัดยังไม่สว่างเลย

ถอดขั้วแบตออกแล้วลองใส่ใหม่ สังเกตุจะมีเสียงดัง "แต๊ก" เป็นทีรีเลย์แอร์ครับ

ของผมบิดสวิตท์แล้วสตาร์ทดังแต็กแล้วไฟหน้าปัดดับหมดเลยครับ
ไม่รู้เป็นไร ลองสตาร์ทใหม่ก็เป็นเหมือนเดิม

ถ้าไฟหน้าปัดดับ  แล้วก็เกย์พวกน้ำมัน  ความร้อนตก


เป็นที่แบตตอรี่แน่นอนเลยครับ

ลองเปลี่ยน รีเลย์ดูครับ ผมพึ่งเป็นมาล่าสุดครับ

ซีวิครั่วเหมือนกัน ไปศูนย์ฮอนด้า เปลี่ยน รีเลย์ เปลี่ยนไดชาร์ท เปลี่ยนแบต เปลี่ยนอะไหล่มั่วไปหมด กลับมาบ้านคืนเดียววันรุ่งขึ้น แบตหมดก้อนเรียบ ต้องพ่วงแบตเหมือนเดิม ศูนย์ฮอนด้า ช่วยอะไรไม่ได้เลย  แถมเก็บตังค์ไปอีกเป็นหมื่นๆ  เสียดายตังค์เป็นหมื่นๆ ที่จ่ายให้ศูนย์ฮอนด้านี่เลยจริงๆ 

อาการที่เป็นนี้ เรียกว่ามีระบบไฟรั่วลงกราวด์ วงจรไฟในรถยนต์ การที่ไฟในตัวแบ็ตเตอรี่มีไฟไม่พอกับการใช้สตาร์ทเครื่องยนต์ เมื่อมีการจอดรถข้ามคืน หรือเป็นเวลานานๆสี่ห้าชั่วโมงขึ้นไป นั้นแสดงให้ทราบว่ามีไฟรั่วลงกราวด์ ในวงจรไฟของรถจะมากหรือน้อย หากมีการรั่วลงกราวด์มาก ไฟในหม้อแบ็ตเตอรี่ก็จะหมดเร็ว หากรั่วไม่มาก ประมาณ 3-5 Amp ก็จะใช้เวลาหลายชั่วโมง ก่อนที่ไฟจะหมดจากแบ็ตเตอรี่

จะรู้ได้อย่างไรว่ามันมีการรั่วในวงจรไฟที่ส่วนไหน และอย่างไร ก็มีวิธีการตรวจสอบตามวิธีต่อไปนี้
เนื่องจากระบบวงจรไฟในรถยนต์แบ่งออกเป็นสองระบบ คือระบบไฟชาร์จและระบบไฟใช้เป็นโหลดที่ทำให้เกิดการสูญเสียพลังงานของกระแสไฟ ไปกับอุปกรณ์ของระบบการคอนโทรลของเครื่องยนต์ให้ทำงาน กับระบบไฟที่เป็นส่วนเสริมเพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้รถ เช่นระบบแอร์ ระบบเครื่องเสียง ระบบไฟส่องสว่าง และสัญญาณไฟแจ้งเตือนอื่นๆ

ดังนั้นเราจะต้องตรวจสอบเป็นขั้นตอนไปตามนี้
วิธีแรก ให้ทำการตรวจสอบของระบบไฟชาร์ท ที่ตัวไดน์ชาร์จ ว่าทำงานปกติหรือไม่การตรวจสอบการทำงานของตัวไดน์ชาร์จ หากต้องการวิเคราะห์ว่ามันทำงานถูกต้องตามสเป็คหรือไม่ จะต้องมีเครื่องมือตรวจเทสการใช้กระแสไฟ ที่มีการเปลี่ยนแปลงค่าโหลดของกระแสไฟ ไปตามรอบของเครื่องยนต์ ที่เป็นตัวกำหนดว่า หากจะให้มีกระแสไฟจำนวนที่มีการบ่งบอกตามสเป็คของตัวไดน์ชาร์จ ว่าจ่ายออกมาได้กี่แอมป์แปร์ ที่ความเร็วรอบของเครื่องยนต์ที่เท่าใด แน่นอนการที่จะใช้กระแสไฟจำนวนมากที่ตัวไดน์ชาร์จผลิตออกมาได้ จะต้องมีกระแสที่ใช้ตามค่าโหลดที่เกิดขึ้น เขาจึงนิยมใช้ค่าโหลด Resistance เข้ามาเป็นตัวกำหนดใช้กระแส แทนตัวแบ็ตเตอรี่ เพราะตัวแบ็ตเตอรี่ มีการเปลี่ยนแปลงค่าโหลดตามการใช้งานจริง ทำให้กระแสไฟที่จ่ายจากตัวไดน์ชาร์จเปลี่ยนไปด้วย จึงเห็นว่าเมื่อแบ็ตถูกใช้กระแสไฟไปมาก ทำให้มีโหลด(ค่าความต้านทาน)ที่เกิดขึ้นภายในตัวแบ็ตมากขึ้น ในทำนองเดียวกันหากแบ็ตมีกระแสไฟเต็ม ค่าความต้านทานที่เกิดขึ้นในตัวมันน้อยเกือบจะเป็นศูนย์ ซึ่งมีวิธีการเช็คที่จะต้องนำมากล่าวกันมากเนื้อหา ก็ขอข้ามไปก็แล้วกัน เพราะไม่ใช่เรื่องที่ท่านเจ้าของรถควรทราบ มันเป็นเรื่องทางวิชาการ

ดังนั้นสิ่งที่จะทำให้การตรวจสอบวงจรไดน์ชาร์จได้ง่ายและเร็วก็คือ ให้หาดิจิตอล มิเตอร์พวก DC แคล้มแอมป์ มาทำการวัดกระแสไฟ DC ที่สายไฟจุด B+ ที่ตัวไดน์ชาร์จ ไปยังขั่วบวกของแบ็ตเตอรี่ โดยใช้แคล้มแอมป์ หนีบคร่อมสายไฟเส้นนี้ แล้วสตาร์ทเครื่องยนต์ เร่งรอบเครื่องยนต์ไปที่ประมาณ 2500 รอบ แล้วให้ตรวจดูที่หน้าปัทม์ของตัว DC clamp amp ว่าอ่านค่าของกระแสไฟได้กี่แอมป์ ปกติจะอ่านได้ประมาณ 20-30 Amp ขึ้นอยู่กับขนาดของตัวไดน์ชาร์จ ว่ามีขนาด เช่น 45A 50A 60A
และเมื่อมาอยู่ที่รอบเดินเบาคารจะได้ ไม้น้อยกว่า 10A โดยประมาณ

ที่กล่าวมาข้างบนนี้เป็นการเทสการทำงานของตัวไดน์ชาร์จแบบเคร่าๆ พอให้ทราบว่ามันทำงานปกติ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเรื่องมีกระแสไฟรั่วลีคลงกราวด์ ก็จะต้องเช็คการั่วของระแสไฟในส่วนที่มาจากมีตัวอุปกรณ์พวกตัวซิลิคอนไดโอดเร็คติฟลาย ในตัววงจรไดน์ชาร์จ เกิดการช๊อร์ทของจังชั่นรอยต่อของสาร PและN ชอร์ทถึงกัน ทำให้ในสภาวะที่เครื่องยนต์ไม่ได้ทำงาน มีกระแสไฟจากแบ็ตเตอรี่ไหลผ่านจังชั่นของตัวไดโอดเร็คติฟลาย ลงกราวด์ ทำให้ไฟในตัวแบ็ตเตอรี่หมด ซึ่งอาการนี้ตรวจพบได้บ่อยมาก
การตรวจเช็คการรั่วนี้ ก็มีวิธีตรวจการทำงานการจ่ายกระแสของตัวไดน์ชาร์จตามวีธีการที่กล่าวมา เพียงแต่ให้ดับเครื่องยนต์ แล้วให้ดูว่ายังสามารถอ่านค่ากระแสไฟได้อีกหรือไม่ ปกติแล้วเมื่อดับเครื่องยนต์จะไม่สามารถอ่านกระแสได้ หากพบว่ายังอ่านค่ากระแสได้ ประมาณ 3-5 Amp แสดงว่า ในแผงวงจรในตัวไดน์ชาร์จมีไดโอดตัวไดตัวหนึ่งมีการชอร์ท ทำให้มีกระแสไหลจากแบ็ตเตอรี่ลงกราวด์

สมมุติว่าที่ตัวไดน์ชาร์จปกติ ไม่มีการรั่วของกระแสไฟ ก็ให้มาทำการตรวจสอบวงจรไฟฟ้า ที่ต่อสายไฟไปยังโหลดต่างๆในตัวรถยนต์ เช่นเครื่องเสียง วิทยุ แอร์ คอมเพรซเซอร์แอร์ ระบบไฟหน้ารถ ไฟเลี้ยว ตัวพัดลมไฟฟ้าของหม้อน้ำ และอื่นๆ ท่านเจ้าของรคงบอกว่า ทำไมมันมากมาย จะตรวจยังไรไหว อย่ากังวลทำง่ายๆ

ก่อนอื่นให้นำเอา DC clamp amp มิเตอร์ มาทำการหนีบคร่อมสายไฟที่ออกไปจากขั่วบวกของแบ็ต ไปเข้าที่กล่องเมนบ๊อคฟิวส์ ที่ห้องเครื่องหน้ารถ ทำในขณะที่ไม่ต้องติดเครื่องยนต์ แล้วอ่านค่ากระแสไฟที่ตัว DC clamp amp ว่ามีกระแสไฟวัดได้เท่าใด ในกรณีที่เป็นปกติ จะมีกระแสไฟถูกใช้ในขณะที่ดับเครื่องยนต์ไม่ได้ใช้งานรถจะวัดได้ประมาณ300-500 ma (มิลลิแอมป์) เพราะในจังหวะที่รถไม่ได้ใช้งาน จะมีกระแสไฟส่วนหนึ่งถูกใช้ไปกับพวกวงจรกันขโมย ระบบเมมโมรี่แบ็คอัพเครื่องรับวิทยุ และระบบแบ็คอัพของ ECU และพวกวงจรสมาร์ทคีย์ พวกกุญแจอีโมบิไลเซอร์

แต่เมื่อใดก็ตามที่ตัว DC clamp amp มิเตอร์สามารถอ่านกระแสไฟได้ตั้งแต่ 3-5 Amp ขึ้นไป แสดงว่าท่านเจ้ารถของกำลังจะโชคดีเสียตังค์แล้ว เพราะว่าเกิดมีกระแสไฟรั่วลงกราวด์ แล้วจะรู้ได้อย่างไร ก็ไม่ยาก ให้ทำตามนี้ ในขณะที่ตัวแคล้มแอมป์มิเตอร์ยังอ่านค่ากระแสไฟที่รั่วลงกราด์ ก็ให้เราดึงตัวฟิวส์ของตัวฟิวส์ย่อยออกทีละตัว เมื่อดึงฟิวส์ตัวใดออกแล้วให้สังเกตุว่า ที่ตัวหน้าปัมท์มิเตอร์แคล้มแอมป์ มีกระแสไฟลดลงมาเหลือประมาณ 300-500 ma หรือไม่ หากยังคงเท่าเดิม ก็ให้ดึงฟิวส์ตัวต่อไฟ จนกว่าจะพบ(พบแน่นอน) เมื่อดึงฟิวส์ตัวไดออก แล้วลดลง ก็ให้ตรวจดูสายไฟที่ต่อจากฟิวส์ตัวนั้น ไปใช้กับอุปกรณ์ของอะไร เราก็จะทราบได้ว่ามาจากอุปกรณ์ตัวไหน ก็เป็นการตรวจหาการรั่วของกระแสไฟแบบคร่าวๆ ที่ใช้งานในการตรวจสอบได้ดีเช่นเดียวกัน

หรือบางครั้งพบว่าท่านเจ้าของรถไปให้ช่างเครื่องเสียงต่อเพิ่มเติมระบบเครื่องแอมป์ แล้วเกิดตัดต่อสายไฟไม่ถูกต้องตามหลักวิชาไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดสายไฟที่ต้องทนกับการใช้กระแสไฟสูงๆ เมื่อเครื่องเสียงใช้กระแสไฟจำนวนมาก ทำให้สายไฟร้อนจนชนวนละลาย เกิดการช๊อร์ทกับกราวด์ก็มี หรือตามขั่วของปลั๊กหลอดไฟ เช่นหลอดไฟหน้ารถที่ใช้กระแสมาก เกิดขั่วหลวม ทำให้กระแสไฟไหลผ่านไม่สะดวก เกิดความร้อนระหว่างจุดสัมผัสของขั่วหลอดไฟที่เป็นแบบพลาสติคละลาย ทำให้ขาหลอดช๊อร์ทกัน เพราะตัวพลาสติคที่ละลายเป็นผงถ่านแข็งๆ กลายเป็นตัวนำของกระแสไฟ
ก็เป็นการตรวจสอบหาเหตุที่ทำให้เกิดอาการดังที่ท่านเจ้าของรถมีปัญหา มาแนะนำกันเคร่าๆครับ ……..srithanon