เนื่องด้วย มีคำถามเกี่ยวกับฝาโก่งมามากมาย บ้างก็น้ำหาย ความร้อนขึ้น บ้างก็น้ำหาย แต่ความร้อนไม่ขึ้น
อย่าว่างั้นงี้เลยนะคะ ฝาโก่ง เช็คให้ชัวที่สุดก็ต้องถอดออกมาเอามาทาน้ำมันทาบกระจก ช่างเก่งๆดีๆจะรู้วิธีเช็ค 
    ฟองปุดๆ มันมาได้หลายอย่างนอกจากฝาโก่ง ช่างบางอู่ ขี้เกียจเช็ค เห็นขับฮอนด้า มีฟองปุด ความร้อนขึ้น
มักจะฟันธงว่าฝาโก่งหมด ทั้งๆที่ ฟองปุด ความร้อนขึ้น มีหลายสาเหตุมาก
    ของเราก็ปุดดดดดดดดดดด ถ้าฝาโก่งจริง น้ำต้องพ่นออกมาเป็นน้ำพุเลย ไม่ใช่ปุดดดดดดดดด
แต่ของเราน่าจะเป็นที่ปะเก็น ฝาไม่โก่ง ช่างทั่วไปเห็น ปุดดดดดดดด
    ก็จะบอกเราว่าฝาโก่งหมด แล้วให้เราปาด ทั้งๆที่
ความร้อนขึ้นนั้น ไม่ได้เกี่ยวกับฝาโก่งเลย
    ฝาเราอาจจะดีๆอยู่ แต่ที่มันปุดดดดดดด
ที่ความร้อนขึ้นอาจจะเป็นที่สาเหตุอื่น
    แต่ทำไงล่ะ ช่างขี้เกียจเช็ค ก็ฟันว่าโก่งหมด ปาดหมด
พอทำมาไม่หาย ก็จะโทษโน่นโทษนี่ เปลี่ยนไปอีกเรื่อยๆ ไม่จบ
    แต่ทำไงดีล่ะ ฝาเราที่ดีๆ โดนปาด เสียหมดแล้ว เครื่องโดนยำหมดแล้ว ก็ยังไม่หาย
ช่างก็จะบอกประโยค คลาสสิก "พี่ว่า ซ่อมไม่คุ้มแล้วล่ะ วางใหม่เหอะ"
    เจ้าของเห็นว่าซ่อมมานานไม่ดีขึ้นก็ตกลงวาง วางเสร็จก็หาย
ก็ใช่สิ วางใหม่ เครื่องใหม่ ไม่โดนยำมันก็ดีน่ะสิ  
    ที่ถาม ที่พูดก่อนนี่คือ อยากจะให้ ใจเย็นๆ ไม่อยากให้ปาดฝาโดยไม่รู้ เพราะของดีๆจะเสียหมด แล้วจะไม่จบ
ที่ว่า หม้อน้ำแตก ถ้าเครื่องไม่ฮีท ดับคาเท้า แล้วกรอกน้ำลงไปเลยน่ะ ไม่มีทางโก่งแน่นอน
    ถ้ารอจนเครื่องเย็นแล้วค่อยเติมน้ำส่วนมากจะไม่โก่ง แต่ถ้า กรอกตอนร้อนเลย โก่งแน่นอน
ลองใจเย็นๆ ก่อน อย่าพึ่งปาด อันนี้ รูปเครื่อง EK ฝาโก่ง ฝาโก่งน่ะ ต้องแบบนี้ 

Attached File :

Attached File :

Attached File :

Attached File :

 รถใช้งาน ในบ้านเราหนะ ฝามันทำด้วยอลูมิเนียม ทุกฝารถใช้งานมีโก่งบ้างอยู่แล้ว เพียงแต่มันยังอยู่ในเกณฑ์ของมัน คราวนี้พวกที่โก่งมากๆเข้า

ก็ก่อให้เกิดปัญหาที่ตามมา ฝาโก่งไม่จำเป็นต้องน้ำแตกเสมอไป ไม่จำเป็นเลย พวกที่น้ำแตกคือโก่งมาก จนเป็นรูน้ำแลบ ประเก็นมันไม่สามารถ

    จะซีลอยู่ การปาดฝาที่ถูกต้องนั้น ในคู่มือรถทุกรถ เค้ามีระยะ maximum permissible อยู่ คือจะต้องวัดความสูงของฝาสูบ ว่า หลังจากปาด มันจะเตี้ยลงเท่าไหร่

บางคนคิดว่า ก็ถ้าปาดฝาแล้วฝาเตี้ยลง ก็กำลังอัดสูงขึ้น  บางคนรู้แค่นั้น ความเป็นจริง ใครจะรู้ว่า ความเตี้ยของฝาสูบ มันแทบจะเปลี่ยนทุกๆอย่างของเครื่องยนต์

    ไปเลย จะอธิบายให้ฟัง เมื่อ ฝาเตี้ย ไทม์มิ่งเพี้ยน ถ้าเพี้ยนมาต้องsprocket ยัดเข้าไปแล้วเอา dial gauge ติดหน้าพูลเล่ย์ แล้วหมุน บิดแคมชดเชยกลับมา

ไหนจะกำลังอัดสูง  เราเองถ้าไม่จำเป็นเราไม่เคยปาดฝา กำลังอัดสูง เดี๋ยวจะต้องปยุ่งกับองศาไฟ กับน้ำมันอีก ถ้าปาดมากๆ คราวนี้มันลามไปไกลเลย เราเอง

    ไม่เคย ทำอะไรกับฝาสูบเลยนะ อย่างมากคือแค่ล้างหน้าบางๆ จบ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันตามมาด้วยค่าใช้จ่ายทั้งหมด ไม่แปลกที่ปาดฝารถวิ่งขึ้น แต่

เครื่องก็เครียดมากขึ้นด้วยเหตุผลข้างบน จริงๆมันค่อนข้างละเอียดมากๆนะ เรื่องเครื่องยต์เนี่ย หลายๆคนเห็นไปทำๆรถกัน เบสิคพวกนี้ 99%

    ไม่มีใครรู้ บางคนฝาโก่ง อืม อืม ฝาโก่ง ว่าแต่มันเป็นยังไงไปถามดูสิ ไม่รู้หรอกฝาโก่งดูยังไง เพราะฉะนั้นไม่แปลกเลยค่ะ ช่างเลยอาศัยความไม่รู้ของเจ้าของรถ

เนี่ยแหละ หากินเลี้ยงลูก เมีย เมียน้อยอีก7คน ได้อยู่  เท่าที่อ่านมาหลายๆฟอรั่มเราว่า เว็บฮอนด้าเนี่ยแหละที่เห็นปีนึงปาดฝากันเยอะมากๆ งง มากเลย

    เราเองในชีวิตยังไม่เคยขับรถแล้วล่อจนฝาโก่งเลย หัดดูอาการรถให้เป็นนิสัย ก่อนที่ น้ำจะแตก ก่อนที่มันจะฮีตเนี่ย แค่ความร้อนขึ้นก็จอด รอเครื่องเย็นก็เติมน้ำ ถ้าไม่ฮีทดับคาเท้า ส่วนมากจะไม่มีทางโก่ง แล้วอย่าเติมน้ำตอนเครื่องร้อนก็พอ รถมันจะมีสัญญาณเตือนบอกเรา

   ก่อนหลายๆอย่างเลย ถ้าเราขับประจำปุ้ปจะรู้ทันทีเลยว่าเฮ้ยนี่มันผิดปกตินะ ก็จอดรถทิ่งไว้ จบ เราก็ไม่ต้องเสียฝาสูบ ฝาสูบยิ่งปาดยิ่งบาง เสียมากกว่าได้ครับ

ของอยู่เป็นเนื้อโลหะ โดนปาดไปบ่อยๆ  เนื้อหายไปมันก็อ่อนแอลงไปเรื่อยๆค่ะ
    เครดิต powerstage

เมื่อกี้ไปเที่ยวอู่มา เจอคันที่ปะเก็นแตกพอดี เลยเอามาฝาก อันนี้เจ้าของเก่าใส่ปะเก็นไฟมา เนื่องด้วยเปิดฝาแล้วช่างชุ่ยๆ
ใส่ปะเก็นไฟมาให้ ใช้ไปนานๆจะเกิดการแตก ยุ่ย ส่วนอีกอันเป็นปะเก็นเหล็กของแท้
    สังเกตุดู ถ้าเดิมๆไม่เคยเปิดฝาเลยส่วนมากเราจะแตกตามรูปนี้ คือไม่ถึงกับกระจุย เพราะปะเก็นแท้จะเป็นเหล็ก
เวลามันแตกมันจะร่อนออกเป็นชั้นๆ ทำให้มีอาการน้ำหาย แรงอัดรั่ว แต่จะไม่หนักเหมือนปะเก็นไฟถูกๆ ที่ช่างทั่วไปชอบใส่ให้
    เมื่อปะเก็นแตกน้ำเลยลอดได้ แต่ถ้าเป็นปะเก็นไฟจะทะลุเลยตามรูป แต่ถ้าเป็นปะเก็นแท้ จะแค่ซึมๆ
เปลี่ยนใหม่ซะก็หาย ของ ES ไม่รู้ปะเก็นแท้เท่าไหร่นะ แต่ของ EK 850 บาท น่าจะไม่หนีกันเท่าไหร่ ลองเปลี่ยนดู 
    ผิดถูกไงก็ขออภัย และเสริมได้จ้า 

Attached File :

Attached File :

Attached File :

Attached File :

คือน่าจะเปนส่าเหตหลักที่ เกิดปัญหานี้ก้คือ แก้สคับ เปนตัวการสำคัญที่ ทำให้เกิด อาการนี้เรวขี้น

ที่เกิดอาการนี้ส่วนใหญ่ จะเป็นรถที่ติดแก้สแล้วทั้งสิ้นคับ ถ้าเจ้าของไม่รู้เลยว่ารุ่นนี้ มีจุดอ่อนเรื่องความร้อน ก้จะเกิดปัญหาฝาโก่งตามมาทีหลังได้คับ

โดยปรกติแล้ว รถที่ไม่ได้ติดแก้ส ก้จะเป็น บ้าง  แต่อาการจะไม่หนักมากเหมือนกับรถที่ติดแก้ส

จากการสันนิษฐาน เบื้องต้นดังนี้
1 ในสมัยนั้น อากาศ ยังไม่ร้อนเท่า ปัจจุบันนี้ การระบายความร้อนจีงออกแบบมาไม่ค่อยดีนัก หม้อน้ำ เล็ก จะสังเกตว่า ES ซึ่ง หลังจากรุ่นนี้ จะเปลี่ยน เป็น หม้อน้ำใหญ่เต็มแผง คาดว่า คงแก้ปัญหาเรื่องความร้อนของรุ่นนี้แน่ๆ
2 ตัวเครื่องเป็น อลูมิเนียมหล่อ ทำให้มีความบอบบางมาก ฮีท ครั้งเดียวฝาโก่ง ในขณะที่ค่ายอื่น ใช้ เหล็กหล่อ แต่ข้อดีก้คือ ระบายความร้อนเรวมากๆ แต่ข้อเสียก้คือ บอบบาง
3 เครื่องยนต์ ไม่ได้ออกแบบมาสำหรับ ใช้ แก้สเป็นเชื้อเพลิง ด้วยอุณหภูมิ ในการจุดระเบิดที่มากกว่า จึงอาจเป็นสาเหตหนึ่ง ที่ทำให้เครื่องยนต์ ร้อนกว่าเดิม ในขณะที่ ระบบระบายความร้อน ก้ ไม่ค่อยจะเพียงพอกับอากาส บ้านเราในปัจจุบันนี้สักเท่าไหร่
4 อายุการใช้งาน คาดว่า การใช้งาน มันก้นาน เป็นสิบๆ ปีแล้ว มันก้ย่อมเสื่อมตามสภาพได้บ้าง  จิงๆ ทุกคัน ก้จะเป็นอาการนี้หมดแหล่ะ เพียงแต่รถที่ไม่ได้ติดแก้ส อาการจะมาช้ากว่า ส่วนรถที่ติดแก้ส ก้ อย่างที่เหน เท่าที่ รับรุ้มา อาการทั้งหมดนี้ จะเกิดขี้นกับรถที่ติดแก้สทั้งสิ้น

ก้อยุ่ที่เจ้าของรถ ถ้าหมั่นดูแลรักษา อย่างสม่ำเสมอ เชครถทุกเช้า คาดว่าอาการน่าจะไม่หนักมากถึงขนาด ฮีทจนฝาโก่งได้หรอก

ป.ล.(ไปละ) รถที่ใช้อยุ่ตอนนี้ก้เริ่มมีอาการเหมือนกัน หลังจากติดแก้สได้ 1 ปี เริ่มมีอาการ ฟองอากาศ ดันน้ำออก จนต้องเติมมน้ำเกือบทุกเช้า เวลา ขับขี้นเขา ถ้าเป็นตอนกลางวัน มีความร้อนขขี้น บ้าง แต่ไม่ถึง กับ100 เปอเซน ขี้นสูงสุดแค่ 75 เปอเซน พอลงเขาก้จอดพักสักเดี๋ยวนึง พอมันดูดน้ำกลับ พอเยนๆ เปิดฝาหม้อน้ำได้ก้เติมน้ำเดินทางต่อได้

ส่วน ทางราบ ไม่เคยความร้อนขี้น ไม่ว่าจะขับเรวแค่ไหนก้ตาม

ถ้าหมั่นเชคระดับน้ำบ่อยๆ เราก้มั่นใจได้ จนกว่าเราจะพร้อม ที่จะเปลี่ยนปะเกน แค่นี้ก้ ใช้กันได้อีกยาว

           
อีกนิดนึง สำหรับ รถที่ติดแก้ส ยังไงก้ควรเติม เบนซิน 91 เพื่อเป็นการ ไม่ให้ น้ำมันบูดในถัง และ เป้นการรักษาเครื่องยนและชิ้นส่วนต่างๆ จะดีกว่าแก๊สโซฮอลล
    เครดิตพี่ คิว cyu 

เรื่องติดแก๊สแล้วความร้อนขึ้นกว่าเดิมเนี่ย ผมจะอธิบายคร่าวๆแบบนี้นะ(อาจจะไม่ถูกต้องตามเครื่องยนต์แต่ล่ะตัวนะครับ ที่ผมพิมพ์นี้ก็คร่าวๆพื้นๆเพื่อให้เข้าใจง่ายๆนะจริงๆมีแต่กต่างออกไปบ้าง)
ส่วนแรก องศาไฟจุดระเบิดและการ ลามของเชื้อเพลิงตั้งแต่หัวเทียนจุดระเบิดจนไอดีเผาไหม้เป็นไอเสีย
เครื่องยนต์เราเป็นแบบสี่จังหวะเนาะ
โดยปกติ ภายในห้องเผาไหม้เวลาที่จะจุดระเบิดเริ่มจาก จังหวะแรก
ดูด
ลูกสูบเคลื่อนที่จาก ศุนย์ตายบนสุดเลื่อนลงสู่ศูนย์ตายล่าง วาว์ลไอดีเปิดเพิ่มปล่อยไอดีเข้าไป
อัด
ลูกสูบเลื่อนขึ้นจากศูนย์ตายล่างไปสู่ศูนย์ตายบน วาว์ไอดีและไอเสียปิด
ระเบิด
ลูกสูบอยู่บนสุด(ศูนย์ตายบน) หัวเทียนจุดระเบิด  ไอดี ไฟลามจามจุดเล็กๆตรงเขี้ยวหัวเทียนลามไปเรื่อยๆจนหมด ไอดีเกิดการขยายตัว  เกิดแรงดันดันลูกสูบลงไปสู่ศูนย์ตายล่าง
คลาย
ลูกสูบเคลื่อนที่จากศุนย์ตายล่าง ไปสู่ศูนย์ตายบนอีกครั้ง วาว์ลไอเสียเริ่มเปิดเพื่อระบายระบายไอเสียออก แล้วปิด  วาว์ลไอดีเริ่มเปิด ลูกสูบเครื่อนลงสู่ศูยน์ตายล่างไปสู่จังหวะสูบ  วนไปเรื่อยๆ

ทีนี้ช่วงเวลา ที่ เริ่มตั้งแต่หัวเทียนจุดระเบิดประกายไปเล็ก ลามไปเรื่อยๆ จนวาว์ลไปเสียเปิด ตรงนี้จะต้องสัมพันธ์กัน  ไฟจะต้องลามจนหมดแล้วขยายตัวแปรสภาพเป็นไอเสีย (ไฟดับหมดแล้ว)วาว์ลไอเสียจึงเปิด   บ่าวาว์ลและพอร์ตก็ไม่โดนความร้อนเต็มๆ  (เชื้อเพลิง อ๊อคเทนยิ่งสูง ไฟยิ่งลามช้า แต่สามารถทนแรงอัดได้มากกว่าไม่จุดระเบิดเองจากแรงอัดที่สูงขึ้น ) สิ่งปกติ ไฟจุดระเบิดจะถูกปรับ มาให้เหมาะกับชนิดและ ค่าอ๊อคเทนของเชื้อเพลิง ที่แนะนำให้ใช้  
สมมุติ เราใช้เชื่อเพลิงอ๊อคเทน 91-95    ช่วงเวลาจุดระเบิดก็  ...เริ่มจากจุดระเบิดเป็น1 แล้ว 2 3 4 5กลายเป็นไอเสีย   วาว์ลไอเสียเปิดพอดี
แต่พอเราไปใช้เชื้อเพลิง LPG ซึ่ง ค่าอ๊อคเทนสูงถึง 100-110 โดยประมาณ  โดยไม่ได้ปรับองศาไฟจุดระเบิดใหม่ มันก็กลายเป็นว่า  ....เริ่มจากจุดระเบิด เป็น1 2 3 4  ยังไม่ทันเป็นไอเสีย  ไฟยังลุกไม่หมดหรือ ยังแปรสภาพไม่หมด  วาว์ลไอเสีย เปิดแล้ว บ่าวาว์ลทที่ไม่ได้ออกแบบมารับความร้อนเต็มๆแบบห้องเผาไหม้ ก็โดนความร้อนไปเต็มๆ ทำงานไปเรื่อยบ่าวาว์ลก็พัง จนยุบ วาว์ลรั่วอะไรก็ว่าไป  เครื่องบางตัว วาว์ลไอเสียปิดเร็วเกินไปดัวย พอวาว์ลไอดี เปิดก็เกิดแรงดันออกทางท่อไอดี

พอเข้าใจไม๊ครับ เรื่องของ องศาไฟจุดระเบิด กับ อ๊อคเทนเชื้อเพลิง  และ บ่าวาว์ลทำไมถึงพัง
เครดิตตาเงาะ WLC 

Attached File :

อีกเรื่องนึง คือค่า AF Ratio  หรือค่า อัตราส่วนผสมระหว่าง  เชื้อเพลิงและอากาศ สมมูติ ผมจะยกตัวอย่าง อัตราส่วนที่เหมาะสมขึ้นมา เอาเป็น 14ต่อ1 ล่ะกัน(อากาศ 14 ส่วน เชื้อเพลิง1 ส่วน)ได้มาเป็นไอดีเพื่อรอดูดเข้า กระบอกสูบหรือห้องเผาไหม้อีกที  อัตราส่วนนี้ เมื่อจุดระเบิดแล้วจะได้ กำลังสูงสุดในแต่ล่ะรอบ  ความร้อนที่เกิดขึ้น ก็อยู่ในระดับที่เตรียมพร้อมระบายไว้ทัน
ถ้าส่วนผสมบางไป  เป็น 15ต่อ1  กำลังอาจจะได้มากขึ้น แต่ความร้อนก็จะมากขึ้นไป  จนระบบระบายความร้อนที่เตรียมพร้อมไว้ระบายไม่ทัน
ถ้าส่วนผสมหนาไป เป็น 13ต่อ1 กำลังอาจจะได้น้อยลง และความร้อนก็อาจจะน้อยลง ห้องเผาไหม้ก็ร้อนไม่พอ จนทำให้จุดระเบิดไม่หมด เหลือเชื้อเพลิงตกค้าง ทำให้หัวเทียนบอดได้
(วาว์ลน้ำก็มาช่วยเรื่องเพิ่มอุณภูมิของห้องเผาไหม้นี่แหละ)

ที่นี่พอเราใช้ LPG  คนที่ติดตั้งจะจูนให้เราดีขนาดไหน ส่วนผสมได้ 14ต่อ1 เท่า เบนซิน ไม๊   จะรู้ได้ ในความเห็นของผม ต้องใช้ซักสามอย่าง
1 AF ratio  meter wide brand   วัดค่า ดูว่า ส่วนผสมมีอัตราส่วนได้ไม๊  (ราคาจำได้ก็หลักหมื่น)
2 ตัววัดอุณภูมิไอเสีย   เอาวัดดูว่า ความร้อนของไอเสีย เพิ่มขึ้นจาก ใช้เชื้อเพลิงเบนซิน กี่เปอร์เซ็น
3 Engine dyno (อันนี้จริงๆไม่ต้องก็ได้) วัดกำลังจากเครื่องยนต์ว่าช่วงกำลังเปลี่ยนแปลงไปขนาดไหน  กำลังเทียบกับรอบเครื่องยนต์

อู่ติดแก๊สเนี่ยจะมีที่ไหนบ้างที่รู้เรื่องนี้ลึกๆ และเครื่องแต่ละตัว จังหวะการเปิดปิดของวาว์ลก็ไม่เหมือนกัน  จะปรับแต่งให้เหมาะสมโดยใช้ค่าๆเดียวกับทุกเครื่องยนต์ก็คงไม่เหมาะสม
ถ้าจูนให้เหมาะ ก็อาจจะโดนลูกค้าบ่นว่าทำไมถึงเปลืองแก๊สก็จูนบางๆไป พอพังก็บอกว่า แบบนี้แหละ แก๊สมันร้อน บลาๆๆๆๆ
ในโรงงานผลิตรถ เค้าช่วยกันจูนเป็นร้อยๆคน กว่าจะได้ ค่าองศาเปิดปิดวาว์ลต่างๆการทำงาน การฉีดเชื้อเพลิงของหัวฉีด ที่เหมาะสม
โจษ ก็เยอะ ต้องทน ต้องแรง ต้องประหยัด  ต้องไม่ร้อน ต้องสนองนโยบายการผลิตของเครื่องยนต์หรือรถรุ่นนั้นได้
จูนเนอร์ทั่วไปที่รับจูน มี โจษ อะไรบ้าง ก็เอาแค่แรงกว่าเดิม ลองไปบอกว่า เอาแรงนะ ประหยัดให้มากที่สุดด้วย  ไม่ร้อนกว่าเดิมมากด้วย ไม่ใช้รอบสูงไปด้วย คงโดนใล่ออกมาจากร้าน

อ้างจากความเห็นข้างบนด้านบนให้เหมาะ กับ LPG ก็จะ ไม่เหมาะกับ เบนซิน  เพราะ EK กำหนดองศาการจุดระเบิดด้วย จานจ่าย ไม่สามารถปรับด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์
ต่อให้คุณไปติดตั้งระบบแก็สหัวฉีด ก็ได้แค่เรื่องส่วนผสมที่อาจจะดีเท่าเดิม (ถ้าจูนดีนะ)
ฉะนั้นถ้าจะใช้LPG และเบนซิน กับเครื่อง ที่เป็นจานจ่าย ต้องทำใจครับ  ไม่มีจุดเหมาะที่สุดทั้งสองเชื้อเพลิงมีแต่จุดเหมาะสมกลางๆ ระหว่างสองเชื้อเพลิง

เหมือนเดิมนะครับ เชื่อผมไม่เชื่อผมไม่มีปัญหา
  เครดิต ตาเงาะ WLC 

เก่งเวอร์  อันนี้ชมนะ เก่งเกินหญิงจิงๆ

ขอบพระคุณมากครับสำหรับความรู้ดีๆๆที่นำมาบอกกล่าว

ถ้ามีอาการ น้ำหายแบบหาที่หายไม่เจอ มีฟองปุดๆในหม้อน้ำ แต่ ความร้อนไม่ขึ้น วิ่งปกติ น้ำมันเครื่องไม่เปลี่ยนสี
ก็น่าสงสัยปะเก็น เพราะอาจจะแค่ แตกๆ น้ำเลยหายเข้าไปเผาในลูกสูบอ่ะ
ถ้ามีอาการแบบนี้ อย่าเพิ่งตกใจกัน ลองเปลี่ยนปะเก็น แล้วล้างหน้าฝาสูบดูก่อน

Attached File :

Attached File :

Attached File :

Attached File :

Attached File :

มีรูปยืนยันด้วยว่าผู้หญิงจิง

เก่งมากครับ...

แน่นอนอะครับ  55555 

   สุดยอดคาบ ขอชมจากใจจริง  

สวย รวย เก่ง
สุดยอดเลยครับ

แบบว่า"น่ารักอ่ะ"

เก่งจริงๆ

แต่งแม้วนึกว่า นางเอกช่อง 3 น่ารัก เก่ง

ขอบคุณทุกท่านจ๊ะ ที่เข้ามาชม เสริมอีกนิด
วิธีเช็คง่ายๆ ก่อนสตาร์ทเครื่อง เปิดฝาหม้อน้ำไว้
แล้วสตาร์ทเครื่อง รอน้ำร้อนสักพักให้วาวล์น้ำเปิด พัดลมหมุน
เราจะเห็นน้ำยุบลง และมีฟองดันออกมาปุดๆ
ฟองนั้นคือ มีรอยรั่วในระบบน้ำ ถ้าใส่คูลแลนด์ไว้ เราจะเห็นรูที่น้ำออกมันจะทิ้งคราบคูลแลนด์ไว้ตรงที่มันรั่ว
แต่ถ้าหาแล้วก็หารอยรั่วไม่เจอ ส่วนมากช่างเห็นเราขับฮอนด้า จะฟันธงว่าฝาโก่ง
แต่ความจริงถ้ารถใช้ได้ปกติ ความร้อนไม่ขึ้น น้ำมันเครื่องไม่เปลี่ยนสี ก็ให้เดาไว้ก่อนว่าปะเก็นแตก ส่วนมาก
รถฮอนด้าที่ใช้มาแสนกว่าโล สองแสนโล จะเป็นอาการคล้ายๆแบบนี้ ทั้งๆที่ฝาไม่ได้โก่งเลย
เลยเอามาบอกไว้ จะได้ไม่โดนอู่หลอกฟัน ว่า ฝาโก่ง

พี่คนนี้ของจริงคัฟ

...

ความรู้ล้วน ๆ ครับ

ยอดเยี่ยม..

เก่งเหมือนกันนะสาว สาว ขอคุณมาก