ค้าอะไหล่โคตรเก่า พิมพ์ว่า: |
ปูเสื่อรอชม![]() |
athongchum พิมพ์ว่า: | ||
รับป๊อปคอนสักชุดมั้ยฮะ |
srithanon พิมพ์ว่า: |
สำหรับเรื่องไดน์ชาร์จหรือ Alternator ที่ทำการชาร์จกระแสไฟให้กับแบ็ตเตอรี่รถยนต์ ก่อนอืนต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ในสภาวะที่ปกติ ของแบ็ตเตอรี่ที่ยังไม่มีการใช้งาน เราจะวัดโวลเต็จหรือแรงเคลื่อนไฟฟ้าได้ 12.4 volt (เมื่อไม่มีโหลด) และถ้าหากแบ็ตมีกระแสไฟที่ถูกชาร์จไว้เต็ม จะวัดได้ประมาณ 12.9 Volt การที่จะทำการชาร์จกระแสไฟให้กับแบ็ตเตอรี่ จำเป็นที่จะต้องให้ตัวไดน์ชาร์จสร้างแรงเคลื่อนโวลเต็จให้สูงกว่าโวลเต็จที่ตัวแบ็ตเตอรี่ ถึงจะทำการชาร์จไฟเข้าแบ็ตเตอรี่ได้
หลักในการตรวจสอบการทำงานของตัวไดน์ชาร์จ ว่าจะอยู่ในสภาพปกติหรือไม่นั้น เขาจะตรวจสอบดังนี้ ให้ทำการสตาร์ทเครื่องยนต์ ให้รอบเครื่องยนต์มีความเร็วรอบประมาณ 2000-2500 รอบต่อนาที แล้วให้เปิดแอร์ เปิดไฟหน้ารถ(ไฟสูง) และอุปกรณ์เครื่องเสียง ที่ใช้กระแสไฟทั้งหมด จะวัดค่าโวลเต็จได้ 13.5-15 V และที่ความเร็วรอบเครื่องยนต์ในขณะนี้ จะต้องวัดกระแสไฟที่ผลิตได้จากตัวไดน์ชาร์จ มากกว่า 30 Amp ถือว่าไดน์ชาร์จทำงานได้ปกติ หากเมื่อใดที่วัดค่าโวลเต็จได้ต่ำกว่า 13.5 Volt แสดงว่าไดน์ชาร์จไม่ปกติ ผลิตกระแสไฟออกมาได้ต่ำกว่าปกติ หากเมื่อใดวัดค่าโวลเต็จได้มากว่า 15 Volt แสดงว่าในระบบควบคุมการจ่ายกระแสไฟโวลเต็จ ที่มาจากชุดวงจร IC voltage regulator ชำรุด สำหรับการตรวจสอบการชาร์จของตัวไดน์ชาร์จ ในขณะที่เครื่องยนต์อยู่ในจังหวะรอบเดินเบา 850-900 รอบต่อนาที ค่าโวลที่วัดได้จะอยู่ที่ประมาณ 13.8-14.5 V และกระแสไฟที่วัดได้จะอยู่ที่ประมาณ 10 A ตามที่ท่านเจ้าของกระทู้บอกว่า ได้ทดลองสตาร์ทเครื่องยนต์อยู่ในจังหวะรอบเดินเบา แลัวเอาแบ็ตเตอรี่ออก เครื่องยนต์ยังทำงานอยู่ แต่พอพัดลมหม้อน้ำทำงาน เครื่องยนต์ก็ดับทันที่ ไม่ต้องสงสัยอะไรมาก ที่ดับนั้นนะมันปกติแล้วครับ ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า การที่ไดนืชาร์จจะทำงานจ่ายกระแสไฟไปใช้ชาร์จแบ็ตและจ่ายไฟให้กับระบบไฟในรถยนต์ มันจะต้องอาศัยไฟจากแบ็ตเตอรี่ไปจ่ายให้กับขดลวดโรเตอร์ในตัวไดน์ชาร์ทก่อน เพื่อให้เกิดสนามแม่เหล็กที่แกนทุ่นโรเตอร์ เมื่อแกนทุ่นโรเตอร์ถูกหมุนด้วยสายพานเครื่องยนต์ ก็จะทำให้แกนทุ่นโรเตอร์หมุน ทำให้มีสนามแม่เหล้กหมุนตัดกับขดลวดสเตเตอร์ เกิดโวลเต็จแรงเคลื่อนและกระแสไฟในขดลวดสเตเตอร์ แล้วจึงนำไปทำการเร็คติไฟร์ให้เป็นกระแสไฟตรง ( DC ) เมื่อเครื่องยนต์ติดแล้ว ก็จะทำให้มีกระแสไฟโวลเต็จจ่ายให้กับระบบไฟในรถรวมทั้งกระแสไฟที่จ่ายให้กับขดลวดโรเตอร์ สร้างสนามแม่เหล็กได้ เนื่องจากในตัวไดน์ชาร์ทที่วงจรของ IC voltage regulator ไฟที่จ่ายให้กับขดลวดโรเตอร์จะต่อร่มกับไฟที่จ่ายไปเข้าขัวบวกของแบ็ตเพื่อทำการชาร์จ เสมือนว่าไฟจากขั่วบวกของแบ็ตต่อตรงไปเข้าไฟออกจากตัวไดน์ชาร์จ งั้นเมื่อเราดึงเอาขัวลบของแบ็ตออก ก็ยังคงมีไฟจ่ายไปให้ขดลวดโรเตอร์สร้างสนามแม่เหล็ก ทำให้มีไฟจ่ายให้กับระบบไฟจุดระเบิดของเครื่องยนต์และอื่นๆ หลังจากที่เอาขั่วลบแบ็ตออก อาจจะมีคำถามต่อไปอีกว่า แล้วจะเอาไฟลบอะไรแทนขั่วลบของแบ็ต ก็ตอบว่า ที่ตัวไดน์ชาร์จที่เป็นเคสโลหะ เขาทำเป็นระบบกราวด์ไฟลบของไดน์ชาร์ท และที่ตัวไดน์ชาร์จก็ยึดติดกับตัวถังแชชซิสรถ จึงมีกราวด์เช่นเดียวกับขั่วลบของแบ็ต ปัญหามันมีอยู่ว่า เมื่อเครื่องยนต์อยู่ในจังหวะรอบเดินเบาที่เอาแบ็ตออก ที่ตัวไดน์ชาร์จมันสามารถผลิตกระแสไฟออดมาได้ไม่เกิน 10 Amp ดังนั้นเมื่อพัดลมหม้อน้ำทำงาน มันจึงดึงกระแสหรือใช้กระแสไฟที่ได้จากตัวไดน์ชาร์จในขณะนั้น เกือบ 6-7 Amp ทำให้กระแสไฟที่ผลิตได้เกือบไม่พอ ทำให้โวลเต็จที่ได้จากไดน์ลดลงอย่างมาก ทำให้โวลเต็จลดลงมากเช่นกัน เป็นผลทำให้ไฟโวลเต็จที่ไปจ่ายให้ขดลวดโรเตอร์ต่ำมาก จนขดลวดโรเตอร์ไม่สามารถสร้างสนามแม่เหล็กให้มีกระแสไฟโวลเต็จที่ขดลวดสเตเตอร์ได้ เครื่องยนต์ก้ดับ ที่เป็นเช่นนี้เพราะการทำงานของไดน์ชาร์ทจะมีตัวแปรเรื่องรอบเครื่องยนต์ในการผลิตกระแสไฟ ดังนั้นการที่จะผลิตกระแสไฟให้มากจึงจำเป็นที่จะต้องเร่งเครื่องยนต์ให้มีรอบสูงๆ เพื่อให้ผลิตกระแสไฟได้มากพอที่จะจ่ายให้กับโหลด จากการสาธิตในวิดิโอคลิปที่มาจาก BB Batery ผู้ที่ทำหน้าที่สาธิตบอกว่าที่รอบเดินเบาเครื่องยนต์ ในการเทสตรวจสอบตัวไดน์ชาร์จ ให้เปิดการใช้กระแสไฟของรถทั้งหมด แล้ววัดไฟได้ 14 V นั้น ทำไมไม่บอกว่าเครื่องยนต์มีรอบเดินเบาที่เท่าไหร่ จากการฟังเสียงเครื่องยนต์ดูน่าจะประมาณ 900-1000 รอบต่อนาที และก็เป็นไปไม่ได้ที่รอบเครื่องยนต์ ต่ำกว่า 800 รอบจะผลิตกระแสไฟออกมาให้แอร์ พัดลมไฟหน้ารถได้มากกว่า 10 Amp ในระบบไดน์ชาร์จในปัจจุบัน ที่คอนโททรลด้วบระบบ IC regulator ที่รอบเดินเบา ต่ำกว่า800 รอบจะสมารถผลิตกระแสได้มากกว่า 10 Amp ในทางปฏิบัติจะเริ่มจ่ายกระแสไฟมากขึ้นที่ 1000 รอบขึ้นไป ดังที่ท่านเจ้าของกระทู้บอกว่า หากเร่งเครื่องยนต์ให่มีรอบที่ 1000 รอบ เครื่องยนต์ไม่ดับเมื่อเอาแบ็ตออก เพราะมีกระแสไฟที่ผลิตจากไดน์ชาร์ทมากขึ้น พอจ่ายให้กับโหลด สำหรับรอบเครื่องยนต์ของเจ้าของกระทู้คิดว่าต่ำไป ปกติแล้วเครื่องยนต์รถทั่วๆไปจะอยู่ที่ 850-900 รอบต่อนาที สำหรับการตั้งความตึงของสายพาน มันมีตัวปรับตั้งให้อยู่แล้ว และในทางปฏิบัติในการปรับตั้งความตึงของสายพานเขาจะกำหนดโดยการใช้มือกดที่สายพานให้กดลงได้ประมาณ 5-7 มิล เพื่อให้เกิด Friction ของร่องสายพาน กับพูลเลย์เพลาข้อเหวี่ยงและ ล้อสายพานของไดน์ชาร์จ จะได้ไม่ลื่นฟรีทำให้มีรอบการหมุนที่ถูกต้องในรอบของเครื่องยนต์กับตัวไดนืชาร์จ ก็เป็นการตอบแบบทั่วๆไป ไม่เน้นทางวิชาการที่เนื้อหามากมายขี้เกียจอ่าน............srithanon |
suttijate พิมพ์ว่า: |
คุณเอกไม่วิ่งไปหาแกเลยละครับ ผมว่าถ่านไดมันใกล้หมดป่าวครับ ตอนกลางคืนเวลา เปิดไฟหน้าปัดไมล์ไฟนิ่งป่าวครับ ถ้าไฟไม่นิ่งหรือกระพือ อาจน่าจะเป็นที่ได นะครับ ผมเคยเป็นครับ อาการนี้ ถ้าปล่อยไว้ ไฟก็จะเริ่มหมดไปเรื่อย ๆ จนต้องเปลียนถ่าน และ ตัวคัตเอาท์ครับ เอาใจช่วยนะตัวเอง![]() ![]() ![]() |
fasang.Mr พิมพ์ว่า: | ||||
ผมขอ โค๊กด้วยครับ ![]() |
srithanon พิมพ์ว่า: |
ก่อนอื่นต้องตั้งรอบเดินเบาของเครื่องยนต์ให้ได้ตามมาตรฐานก่อนที่ 850 รอบ เพราะการทำงานของตัวไดน์ชาร์จ มันต้องการรอบเครื่องยนต์ ที่จะสร้างสนามแม่เหล็กของขดลวดโรเตอร์ ที่จะผลิตกระแสไฟออกมาพอที่จะใช้ในระบบไฟของรถ ซึ่งที่ 850 รอบนี้ ตัวไดน์ชาร์จเริ่มผลิตกระแสไฟได้ไม่มาก ประมาณ 10 Amp และถ้าหากรอบเครื่องยนต์ต่ำกว่านี้ ทั้งกระแสไฟและโวลเต็จก็จะออกมาต่ำ ดังนั้นการที่คุณบอกว่าวัดไฟที่รอบเครื่องยนต์ของคุณเองmที่ 700 รอบได้ประมาณ 12..X โวลท์
นั้นหมายความว่าไฟจากไดชาร์ทยังผลิตออกมาไม่พอ งั้นคุณก็ลองเร่งรอบเครื่องยนต์ให้ได้ 850-900 รอบ ดูวิว่า มันวัดไฟได้กี่โวลท์ ในสภาวะปกติที่ตัวไดน์ชาร์จ เมื่อมันผลิตกระแสไฟโวลเต็จสำหับชาร์จแบ็ต มันจะต้องสามารถผลิตแรงเคลื่อนโวลเต็จออกมาอย่างน้อย 13.5-13.8 V ทั้งรอบเดินเบาและรอบเครื่องยนต์สูง ทั้งนี้ในตัวไดน์ชาร์ทรุ่นใหม่ๆในปัจจุบันนี้ ตัวไดน์ชาร์จจะถูกคอนโทรลด้วย IC voltage regulator มันจึงรักษาระดับแรงเคลื่อนโวลเต็จให้ไม่เกินค่าสูงสูดที่กำหนด คือที่ ไม่เกิน 14.5-15 Volt ทั้งนี้เพื่อป้องกันการเกิดโอเวอร์ชาร์จให้กับแบ็ต อันมีผลเสียหายของแผ่นธาตตะกั่วอ๊อกไซด์ ทำให้แบ็ตเสื่อมเร็ว ที่ถามว่าหากสายพายหย่อน จะทำให้ไดน์ชาร์จผลิตกระแสออกมาไม่พอ ก็มีส่วนถูกอยู่บ้างแต่ไม่มาก การที่สายพานหย่อนจนถึงจุดสภาวะที่เกิดการลื่นฟรีของสายพานที่หมุนไดน์ชาร์จ นั้นในความจริงแล้วมันเกิดขึ้นน้อนมาก และถ้าหากมันเกิดขึ้นจริงตามที่กล่าว มันจะทำให้รอบการหมุนของตัวไดน์ไม่ตรงตามการเคลื่อนที่ของสายพาน ทำให้รอบการหมุนของไดน์ช้ากว่า ทำให้แกนโรเตอร์หมุนช้าตามไปด้วย เมื่อแกนโรเตอร์หมุนช้าลง การเสริมเส้นแรงแม่เหล็กไปให้ขดลวดสเตเตอร์ก็มีน้อย ทำให้ไดน์ผลิตกระแสไฟออกมาน้อย นี้คือปัญหาของสายพานหย่อน(ต้องหย่อนมาก) เนื่องจากว่าเครื่องยนต์สมัยนี้ การควบคุมการทำงานของตัวไดน์ชาร์จ จะถูกคอนโทรลด้วยกล่อง ECU ของเครื่องยนต์ ดังนั้นการทำงานเรื่องการผลิตกระแสของตัวไดน์ชาร์จ จึงมีประสิทธิภาพมากกว่าระบบเดิม สำหรับการควบคุมการจ่ายกระแสไฟของตัวไดน์ชาร์จในยุดเก่าๆ ที่ใช้เร็คกูเรเตอร์เป็นแบบคัทเอ้าท์ เขาเลิกนำมาใช้ต้งนานแล้ว เพราะมีประสิทธิภาพไม่แน่นอน ไม่สเตเบิล และเป็นการทำงานในรูปแบบแม็คคานิคส์ พูดง่ายมันล่าสมัย สำหรับเรื่องแปลงถ่านในตัวไดน์ชาร์จ หากหมดก็มีผลในการผลิตกระแสไฟ ทำให้มีแรงเคลื่อนและกระแสไฟโวลเต็จออกมาน้อย แต่ในกรณีของท่านเจ้าของกระทู้ คงไม่ใช้ปัญหามาจากแปลงถ่านหมด เพราะคุณบอกว่าพอเร่งเครื่องยนต์ให้มีรอบ 1000 รอบ แล้วถอดแบ็ตออก เครื่องยนต์ก้ทำงานได้เมื่อมีโหลด ก็เป็นการยืนยันว่าแปลงถ่านปกติ..........srithanon |
oat_es03 พิมพ์ว่า: |
ของผมลองวัด ตอนวิ่งได้ประมาณ 13.13 โวทต์(ใช้ที่วัดแบบเสียบที่จุดบุหรี่) ตอนจอด เปิดแอร์เปิดเครื่องเสียงได้ 13 โวทต์ สตาร์ทครั้งแรกได้ 12.97 อ่านในเว๊ปบอกว่าไดชาร์จชาร์จไฟไม่เต็มที่...(แต่ถามช่างไดนาโมทั่วไป บอกปกติ งงเลยครับ ไม่รู้ยังๆงแน่)
ปล.วิ่งเร็วเต็มที่ยังไงก็ไม่ถึง 13.8 ไม่เคยไฟแรงถึง 14 โวทต์สักที |
fasang.Mr พิมพ์ว่า: | ||||
ผมขอ โค๊กด้วยครับ ![]() |
srithanon พิมพ์ว่า: |
การที่วัดไม่ถึง 13.5 หรือ 14.5 Volt เพราะเขาวัดโวลเต็จในแบบฟรีโหลด เพื่อเทสการทำงานของตัวไดน์ชาร์จ ว่าเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงความเร็วรอบของเครื่องยนต์ จากรอบเดินเบาไปจนถึงรอบสูงสุด ที่ตัวไดน์ชาร์จจะสร้างแรงเคลื่อนโวลเต็จได้เท่าใด ที่สภาะปกติ และเมื่อรอบเครื่องยนต์สูง ณ ที่จุดหนึ่งแล้วทำให้ได้กระแสไฟและโวลเต็จมีค่าสูงสุด ที่มีการคอนโทรลจาก วงจร IC voltage regulator กำหนดออกแบบไว้ ให้ได้ไม่เกิน 14.5 V แม้จะมีรอบเครื่องยนต์ที่สูงขึ้นไปอีกก็ตาม
แต่เมื่อใดที่มีการเอาไหลดของกระแสไฟไปต่อเข้าวงจรไฟไดน์ชาร์จ เช่นแบ้ตเตอรี่ แอร์ ไฟหน้ารถ เครื่องเสียง ย่อมจะมีโวลลดลง แต่อย่างไรก็จะไม่ลดลงต่ำกว่า 13 V เพราะการที่จะชาร์จกระแสไฟให้กับแบ็ตเตอรี่ได้ จะต้องมีแรงเคลื่อนไฟโวลเต็จสูงกว่าของแบ็ต ถึงจะชาร์จกระแสเข้า ( ในตำราวิชาการกล่าวไว้ว่า แบ็ตเตอรี่ที่มีการชาร์จไฟเต็ม จะวัดโวลเต็จได้ 12.9 V ) หรือประมาณ 13 V แบ็ตเตอรี่ที่มีการชาร์จไฟเต็มแล้ว เมื่อมีการขับรถเดินทางหรือใช้งานรถ วงจร regulator จะคอนโทรลการสร้างสนามแม่เหล็กของตัวไดน์ ไม่ให้ผลิตกระแสไฟและแรงเคลื่อนโวลเต็จ ออกมาเพิ่มให้กับแบ็ต เพื่อเป็นการป้องกันการโอเวอร์ชาร์จ เราจึงเห็นโวลเต็จไม่สูงเกินกว่าโวลของแบ็ตที่มีกระแสไฟเต็ม แต่อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ไดน์ชาร์จทำงานชาร์จกระแสไฟให้กับแบ็ต ค่าโวลที่วัดได้จะเป็นตัวแปรกับโหลดของกระแส และรอบของเครื่องยนต์ ประกอบกับสเป็คของไดน์ชร์ทว่า เขากำหนดค่าการชาร์จกระแสไฟและโวลเต็จเอาไว้ที่เท่าใด เช่นบางแบบกำหนด 13.5-14.8 V และบางแบบก็กำหนด 13.8-15 V ก็มี งั้นค่าโวลที่วัดได้จากการทำงานที่ตัวไดน์ชาร์จของรถยนต์ทั่วๆไป คงไม่ได้ยึดติดกับค่าที่ออกมาทางวิชาการ ที่เขาทำการทดสอบ จะมีการต่างกันบ้างก็เพียงจุดของโวล ตามคุณลักษณะสเป็คของไดน์ชาร์จนั้นๆ...srithanon |
poh พิมพ์ว่า: |
แบตเตอรี่ไฟเต็ม12.6โวลต์คับไฟเต็ม
12.5ถึง 12.4ไฟเต็ม 12.3ถึง12.2และ12.1ไฟอ่อน ถ้า12.0ไฟหมดคับ แต่เมื่อสตาร์ทรถไฟชาร์จจะต้องได้14.0โวลต์ +_ 0.2 โวลต์ คือ13.8ถึง14.2โวลต์คับ |
www8797 พิมพ์ว่า: |
เพิ่งเปลี่ยนไดร์ชารจกับพี่สุรเดชเมื่อเย็นวันอาทิตย์ มีปัญหาเดียวกับเจ้าของกระทู้เลย 555+ มาเก็บข้อมูลครับ |
athongchum พิมพ์ว่า: | ||
เหมือนกันเลยครับพี่ ของพี่รอบเดินเบาเท่าไหร่ครับ |
patipat พิมพ์ว่า: |
อย่าลืมดูขั้วไดชาร์จนะครับ ผมเกือบเปลี่ยนไดชาร์จไปแล้ว เนื่องจากอาการชาร์จไฟไม่พอ(ไฟต่ำ) ที่ไหนได้ไดชาร์จผลิตไฟได้ปกติ แต่ขั้วสกปรก ไฟวิ่งได้ไม่สะดวกเลยจ่ายมาชาร์จที่แบตได้ต่ำ อาการที่พบคือใช้ไปสักสองสามวันรถสตาร์ทไม่ติด ไฟไม่พอ แต่พ่วงแบตติด |
oat_es03 พิมพ์ว่า: | ||||
บิดกุญแจมาที่ on ครั้งแรกไม่ได้สตาร์ทได้ 12.97 โวทต์ พอสตาร์ทที่รอบเดินเบาได้ 13-13.1 โวทต์ครับ ปล.ไปอ่านข้อมูลในเน๊ตมา เคยคิดจะเปลี่ยนไดชาร์จหลายครั้งเพราะไฟไม่ได้ตามที่บทความในเวปลงไว้สักที(ไดชาร์จผมแปลงมาด้วย เพราะไดชาร์จเคยพังมา แล้วหาใหม่ของตรงรุ่นไม่ได้ เลยเอาของติดรถมาแปลงเหมือนพวกไดชาร์จรถเบ๊นต์หรือบีเอ็ม) |
fasang.Mr พิมพ์ว่า: | ||||
ผมขอ โค๊กด้วยครับ ![]() |
WarHighways พิมพ์ว่า: |
![]() เปิดฝากระโปรง เช็กแบต อ้าว เฮ้ย น้ำทุกช่อง ลดลง ต้องหมั่นเติม แบตก็พึ่งเปลี่ยนมาแค่ปีเดียว คิดแล้วไม่น่าเป็นที่แบต เลยไปลองล้างลิ้นปีกผีเสื้อ ก็ยังพบอาการ วูบๆ เกือบดับ ต้องกด ปุ่ม A/C เพื่อตัดระบบแอร์ เครื่องก็นิ่งขึ้น ผมกำลังสงสัยอยู่ เหตเพราะ ไดร์ชาร์จ ไป แล้วหรือเปล่า รึยังไง กูรู ชี้แนะหน่อยครับ ตอนนี้ เสมือนว่า รถผม กำลังใช้ไฟ จากแบตเตอร์ รี่ อย่างเดียว ไดร์ชาร์จ ไม่ชาร์จไฟ เข้าแบต แบตจึง กินน้ำกลั่นมากกว่าปกติ เปิดฝากระโปรงทีไร นี่ มีไอออกจากรู ทุกรูเลยครับผม ชี้แนะหน่อยครับผม ว่า แก้ตรงไหนดี |
ไปที่: |