ตอบ
ขายรถฟรี ซื้อขายรถยนต์
d-credit


เข้าร่วม: 07 พฤษภาคม 2014
ตอบ: 271

มีใบอนุญาตขับขี่
มีใบอนุญาตขับขี่

ได้รับคำขอบคุณ: 0
ให้คำขอบคุณ: 0
อังคาร, 6 มิถุนา 2017 18:39 - สินเชื่อรถยนต์ รถแลกเงิน รถผ่อนอยู้ก็กู้ได้ ไม่เช็คแบล็คลิส ติดแบล็คลิสก็จัดได้
เครื่องสั่น เบาดับ กินน้ำมัน ต้องรีบแก้?

อาการเครื่องยนต์สั่น หากผู้ใช้รถไม่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ อาการ ต่างๆ เหล่านี้มักเป็นปัญหากวนใจ บางครั้งปล่อยปละละเลย เพราะเกรงว่าหากนำไปให้ช่างเช็กเครื่องยนต์ต้องมีค่าใช้จ่ายที่แพงแน่ๆ ทั้งที่จริงอาการเครื่องยนต์สั่นอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งค่าใช้จ่ายก็ไม่ได้แพงมากอย่างที่คิด ส่วนอาการเครื่องยนต์สั่นเกิดจากสาเหตุใดบ้างคำตอบอยู่ด้านล่างนี้แล้ว

อาการเครื่องยนต์สั่นมีสาเหตุจากอะไรบ้าง?

1. เช็กจากยางแท่นเครื่อง มีอาการสั่นแต่ไม่ดับ จะเห็นอาการตั้งแต่ จอดรถติดเครื่องยนต์ และเปิดเครื่องปรับอากาศในรถรอให้คอมแอร์ทำงาน สังเกตได้ว่าเครื่องยนต์จะสั่นอย่างเห็นได้ชัดเจน และจะลดอาการสั่นเมื่อคอมแอร์ตัดการทำงาน หรือลองใส่เกียร์ D ปล่อยให้รถไหลออกตัวช้าๆ ค่อยๆ เหยียบเบรค ก็จะเห็นอาการเครื่องยนต์ที่สั่นสะเทือน

2. เช็กหัวเทียนสูบใดสูบหนึ่งไม่ทำงานหรือไม่จุดระเบิด สังเกตสี และลักษณะของหัวเทียน ว่าเครื่องยนต์ของคุณสมบูรณ์หรือไม่

- หากมีสภาพสีดำแห้ง สามารถเช็ดออกได้ง่าย แสดงว่าส่วนผสมน้ำมันหนา
- มีสภาพน้ำมันเครื่องเปียก แสดงว่าลูกสูบ กระบอกสูบ แหวนลูกสูบสึกหรอ หรือหลวม
- มีสภาพไหม้ แสดงว่าเครื่องยนต์ทำงานที่อุณหภูมิสูงเกินไป อาจใช้หัวเทียนผิดเบอร์ หรือผิดสเป็ค
- มีสภาพสีขาวจับ หรือสีเหลืองจับ แสดงว่าไฟอ่อนเปลี่ยนหัวเทียนให้ร้อนขึ้น

3. เช็กท่อ Vacuum หาจุดรั่ว เพราะท่อ Vacuum มีหน้าที่เร่งไฟจุดระเบิดในช่วงรอบเดินเบา เพื่อช่วยให้รอบเดินเบาเครื่องยนต์เงียบไม่สั่น สังเกตถ้ารั่วจริงๆ ใช้ Timing Light เช็กอาการ เมื่อเราถอดสาย Vacuum ออกไฟจุดระเบิดจะไม่มีการเปลี่ยนไปจากตอนที่เสียบอยู่

4. เช็กลิ้นปีกผีเสื้อ ดูคราบเขม่าเกาะติดหนาแน่นหรือไม่ ถ้ารอบเครื่องไม่นิ่งสวิงขึ้น-ลง รอบเดินเบาต่ำจนทำให้เครื่องดับ เครื่องสั่นขณะเร่ง หรือเร่งเครื่องแล้วความเร็วขึ้นช้า ให้ตรวจเช็กที่ลิ้นปีกผีเสื้อเป็นอันดับต้นๆ หากคุณพอมีความรู้ด้านช่างอยู่แล้วก็สามารถถอดลิ้นปีกผีเสื้อมาล้างเองได้

ทั้งหมดนี้อาจเป็นสาเหตุทำให้เครื่องยนต์สั่น คุณต้องสังเกตอาการเครื่องยนต์ด้วยว่าตรงกับอาการแบบไหนบ้าง ทางที่ดีควรปรึกษาช่างผู้เชี่ยวชาญโดยตรง หรืออู่ใกล้บ้านทันที อย่าปล่อยทิ้งไว้นานจนสายเกินแก้ครับ

sanook.com
d-credit


เข้าร่วม: 07 พฤษภาคม 2014
ตอบ: 271

มีใบอนุญาตขับขี่
มีใบอนุญาตขับขี่

ได้รับคำขอบคุณ: 0
ให้คำขอบคุณ: 0
เสาร์, 10 มิถุนา 2017 08:44 - สินเชื่อรถยนต์ รถแลกเงิน รถผ่อนอยู้ก็กู้ได้ ไม่เช็คแบล็คลิส ติดแบล็คลิสก็จัดได้
ครบกำหนดเช็กระยะ เข้าอู่ หรือเข้าศูนย์บริการดี?
รถยนต์หนึ่งคัน นอกจากจะต้องคอยดูแลรักษาให้ดี เพื่อการใช้งานในชีวิตประจำวันแล้ว เมื่อถึงเวลา เช็กระยะ ตามหลักกิโลเมตร หรือตามระยะเวลาที่กำหนด ก็สมควรที่จะนำเข้าไปตรวจเช็กดูทันที
จริงๆ แล้วคุณสามารถนำรถยนต์เข้าไปเช็กได้ก่อนจะถึงระยะที่กำหนด ซึ่งระยะที่ว่านี้จะอยู่ที่เท่าใดก็ได้ ขึ้นอยู่กับคุณ แต่ส่วนใหญ่มักจะปล่อยเลยกันไปอีก จึงค่อยนำเข้าไปเช็ก แต่ทางที่ดีไม่ควรทิ้งระยะเกิน1,000 กิโลเมตร เพราะน้ำมันเครื่องมีอายุการใช้งานในตัวของมันเอง นอกจากนี้ไม่แน่ว่าของเหลวต่างๆ ในเครื่องยนต์ยังมีอยู่รึไม่ เพราะมันอาจรั่ว ซึม หรืออาจหมดไปจริงๆ ก็ได้ และสุดท้ายมันอาจทำให้เครื่องรวน เสียหายหนัก หรือพังได้ ฯลฯ
รายการเช็กระยะส่วนใหญ่ มักจะมีอยู่ไม่กี่ข้อ ดังนี้
1. เปลี่ยนถ่ายของเหลว เช่น น้ำมันเครื่อง, น้ำมันเบรค, น้ำมันเกียร์, น้ำมันเพาเวอร์ ฯลฯ
2. ไส้กรองอากาศ, ไส้กรองน้ำมัน
3. แบตเตอรี่
4. หัวเทียน
5. ยางรถยนต์ เช่น ความดันลมยาง, สลับยาง, ถ่วงล้อ ฯลฯ
6. เบรค และจานเบรค
7. น้ำยาหม้อน้ำ
8. ช่วงล่าง และตัวถัง
9. อื่นๆ เช่น ใบปัดน้ำฝน, ที่ฉีดน้ำล้างกระจก ฯลฯ
ปกติรถมือหนึ่งส่วนใหญ่ มักเลือกใช้บริการเช็กระยะกับศูนย์บริการรถยี่ห้อนั้นๆ เพราะมีการรับประกันในช่วงแรก (อาจฟรีค่าแรง หรือส่วนลดค่าอะไหล่ภายใน 3 – 5ปี ฯลฯ) และเมื่อหมดระยะรับประกัน คุณก็จะมีตัวเลือกให้เลือก 2 ทาง คือ 1.เข้าศูนย์บริการตามเดิม 2.เข้าอู่ข้างนอก ซึ่งก็มีหลายคนลังเลว่าจะเข้าไปเช็กระยะที่ไหนดี (รวมไปถึงผู้ที่ซื้อรถยนต์มือสองมาใช้งานด้วย)

สำหรับความแตกต่างของทั้ง 2 ตัวเลือกนี้ ระหว่างศูนย์บริการ และอู่นอก เราจะขอสรุปเป็นข้อดี-ข้อเสีย ดังนี้
ข้อดี ศูนย์บริการ
- มีการรับประกันคุณภาพ
- ใช้อะไหล่แท้
- มีเครื่องมือมาตรฐาน และเครื่องมือพิเศษพร้อมบริการ
ข้อเสีย ศูนย์บริการ
- ราคาแพง
- เปลี่ยนอย่างเดียว ไม่มีซ่อม
- หากไม่แจ้งให้ทำอะไรบ้าง จะจับเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด
ข้อดี อู่นอก
- ราคาถูก
- มีอะไหล่เทียบแท้
- รับซ่อมอะไหล่
- คุยง่าย
ข้อเสีย อู่นอก
- ไม่มีการรับประกัน
- ช่างมีความรู้ ความสามารถจริงรึเปล่า
- อุปกรณ์ หรือเครื่องไม้เครื่องมือไม่ครบ
ถ้าหากจะให้พูดง่ายๆ ก็คือ ศูนย์บริการมีความน่าเชื่อถือ มีการรับประกันงานทุกอย่าง หากมีปัญหาสามารถแจ้งเคลมได้ แต่ก็ต้องแลกด้วยค่าบริการที่แพงกว่า ส่วนอู่นอกมีราคาถูกกว่าเยอะ สามารถหาซื้อของข้างนอกเพื่อเอาไปให้ช่างเปลี่ยนได้ (ลดค่าใช้จ่ายได้อีก) หรือจะให้ช่างที่อู่หาให้ก็ได้เช่นกัน แต่ก็ต้องยอมรับความเสี่ยงในเรื่องของคุณภาพงาน เพราะส่วนใหญ่ไม่มีการรับประกันใดๆ อย่างมากเต็มที่ไม่เกิน 6 เดือน (สำหรับอะไหล่บางตัว)
สุดท้ายนี้ หากคุณไม่กังวลเรื่องค่าใช้จ่าย หรือหากเป็นกังวลเกี่ยวกับการรับประกัน ก็เลือกเข้าศูนย์บริการดีกว่า เพราะจะได้มีบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับรถของคุณอยู่กับทางศูนย์บริการ มีปัญหาอะไรก็สามารถเข้าไปซ่อมแซมแก้ไขได้ แต่ถ้าคุณอยากประหยัด คิดว่าเช็กระยะที่ไหนก็ได้ เหมือนๆ กัน ไม่กังวลเรื่องปัญหาที่จะตามมาทีหลัง หรือมีอู่ที่รู้จัก มีอู่ที่ไว้ใจได้ ก็เลือกใช้บริการอู่นอกได้เลย ย้ำอีกครั้ง!!! สบายใจแบบไหน เลือกใช้แบบนั้นนะครับ
d-credit


เข้าร่วม: 07 พฤษภาคม 2014
ตอบ: 271

มีใบอนุญาตขับขี่
มีใบอนุญาตขับขี่

ได้รับคำขอบคุณ: 0
ให้คำขอบคุณ: 0
พฤหัส, 15 มิถุนา 2017 18:27 - สินเชื่อรถยนต์ รถแลกเงิน รถผ่อนอยู้ก็กู้ได้ ไม่เช็คแบล็คลิส ติดแบล็คลิสก็จัดได้
วิธีขับรถลุยน้ำท่วมให้ปลอดภัย เครื่องไม่ดับ!

ช่วงนี้การจราจรค่อนข้างติดขัด เนื่องจากการเปิดเทอมของนักเรียน นักศึกษาทั้งหลาย ประกอบกับการเข้าสู่ฤดูฝน ทำให้รถยิ่งติดคูณ 2 เข้าไปกันใหญ่ ซึ่งทุกๆ ปี จะเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมขังตามจุดต่างๆ ทั่วประเทศ ไม่เว้นแม้แต่เมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯ ที่แม้จะมีอุโมงค์ยักษ์แล้ว น้ำก็ยังท่วมรอการระบายอยู่เหมือนเดิม

การขับรถฝ่าน้ำท่วมจึง ยิ่งต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะเครื่องยนต์กลไก และระบบอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ของรถยนต์ ไม่ถูกกับน้ำอย่างยิ่ง หากไม่อยากเสียเงินเพื่อซ่อมรถ หรือร้ายแรงสุดๆ คือยกเครื่องใหม่ ถ้าเลี่ยงเส้นทางน้ำท่วมได้ หรือมีเส้นทางอื่นที่ไปถึงได้เหมือนกัน ก็ควรเลี่ยง อย่าฝืน หรืออย่าเสี่ยงจะดีกว่า

แต่ถ้าจำเป็นต้องไปทางนั้นจริงๆ หรือไม่มีทางให้เลี่ยง มาดูวิธีขับฝ่าน้ำท่วมยังไงให้ปลอดภัย และลดความเสี่ยงรถพังกันดีกว่า

1. ปิดระบบทำความเย็น หรือแอร์ทันที เพราะในขณะที่เรากำลังขับฝ่าน้ำท่วม หากเปิดแอร์ไว้ พัดลมจะทำงาน ทำให้ใบพัดหมุนตีจนน้ำกระจายไปทั่วห้องเครื่อง ซึ่งอาจทำให้น้ำเข้าห้องเครื่อง หรือเข้าระบบไฟได้ นอกจากนี้ใบพัดอาจพัดไปโดนเศษขยะต่างๆ เช่น กิ่งไม้ ขวดแก้ว ฯลฯ จนทำให้เกิดความเสียหาย ใบพัดแตก หรือหักได้อีกด้วย

2. ใช้เกียร์ต่ำขณะขับฝ่าน้ำท่วม โดยใช้แค่เกียร์ 1 หรือ 2 เท่านั้น สำหรับเกียร์ธรรมดา ส่วนเกียร์ออโต้ให้ใช้เกียร์ L หรือ 1 (เกียร์ต่ำสุดของรถแต่ละรุ่น) นอกจากนี้ควรรักษารอบเครื่องเอาไว้ประมาณ 1,500 – 2,000 รอบ เพราะหากรอบต่ำเกินไป เครื่องอาจดับได้ และหากรอบเครื่องสูงเกินไปอาจดูดน้ำเข้าห้องเครื่องได้ ให้รักษาความเร็วเอาไว้อย่างสม่ำเสมอ

3. อย่าเร่งรอบเครื่องสูงๆ หลายคนมักเข้าใจผิด เร่งเครื่องเร่งรอบระหว่างขับผ่านน้ำท่วม เพราะกลัวน้ำจะเข้าท่อไอเสีย กลัวเครื่องจะดับ แต่จริงๆ แล้วมันกลับให้ผลร้ายมากกว่าที่คิด เนื่องจากการเร่งรอบสูงๆ ทำให้มีอุณหภูมิห้องเครื่องสูงขึ้น และเมื่อความร้อนสูงขึ้น พัดลมระบายความร้อนก็จะทำงาน ทำให้ใบพัดหมุน ผลเสียที่ตามมาก็จะเหมือนกับในข้อแรก และไม่ต้องไปกังวลเรื่องน้ำเข้าท่อ ถึงแม้น้ำจะท่วมท่อไอเสียก็ตาม เพราะรอบเดินเบามีแรงดันมากพอที่จะดันน้ำออกมาจากท่อได้นั่นเอง

4. ลดความเร็วลงเมื่อขับรถสวนกัน เพราะรถที่สวนเลนมาจะมีระดับคลื่นที่ดันผ่านมากับคลื่นที่เราดันไป ทำให้เกิดแรงปะทะระหว่างทั้ง 2 คลื่น และคลื่นน้ำที่ชนกันจะก่อให้เกิดแรงกระทบ พร้อมกับระดับน้ำที่สูงขึ้น ซึ่งมันสามารถเข้าไปสร้างความเสียหายภายใน หรือท่วมห้องเครื่องได้

5. เว้นระยะให้ห่างจากคันหน้ามากกว่าปกติ เพราะอย่าลืมว่า ระบบเบรกทั้งหมดจมอยู่ในน้ำ ประสิทธิภาพในการทำงานจึงลดต่ำลงมาก หากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินขึ้น จะได้มีระยะเบรกที่ปลอดภัย และหากขับรถพ้นช่วงน้ำท่วมแล้ว ให้ทำการย้ำเบรกบ่อยๆ หรือเหยียบเบรกเป็นช่วงๆ ถี่ๆ เพื่อไล่น้ำออกจากระบบ และผ้าเบรกจะได้แห้งไวขึ้น สำหรับรถเกียร์ธรรมดา ให้ย้ำคลัตช์เพิ่มเข้าไปด้วยอีกหนึ่งอย่าง เพราะอาจมีปัญหาคลัตช์ลื่นได้หลังจากผ่านการลุยน้ำท่วม

หลังจากที่ขับฝ่าน้ำท่วมมาได้แล้ว หรือถึงจุดหมายปลายทางแล้ว อย่าเพิ่งรีบดับเครื่องยนต์ ให้วอร์มเครื่องไปอีกสักพัก เพราะอาจมีน้ำตกค้างอยู่ในหม้อพักท่อ และถ้าเห็นว่ามีไอ หรือควันออกมาจากท่อไอเสีย อย่าได้ตกใจไป เพราะมันคือน้ำที่ระเหยออกมานั่นเอง ซึ่งหากคุณไม่ทำแบบนี้ อาจทำให้ท่อทั้งเส้นผุกร่อนเร็วกว่าปกติ นอกจากนี้คุณควรที่จะนำรถไปล้าง เน้นฉีดน้ำแรงๆ เข้าไปบริเวณใต้ท้องรถ และซุ้มล้อ เพราะมันอาจมีเศษทราย เศษขยะ ฯลฯ ติดอยู่ภายในนั้น

สุดท้ายนี้ หากเกิดเหตุสุดวิสัยจริงๆ รถดับกลางน้ำท่วม ให้พยายามย้ายรถไปอยู่ในที่ที่น้ำไม่ท่วม และอย่าสตาร์ทเครื่องยนต์เด็ดขาด เพราะน้ำที่ค้างอยู่จะยิ่งเข้าระบบ อาจทำให้เครื่องมีปัญหามากกว่าเดิม ให้รอช่างมาตรวจดูอาการก่อนจะดีกว่า และสำหรับใครที่รู้ตัวว่ารถต้องโดนน้ำท่วมแน่ๆ (จอดที่บ้าน จอดที่คอนโด ฯลฯ) ให้ถอดขั้วแบตเตอรี่ + หรือ – ออกหนึ่งขั้ว หรือจะถอดออกทั้ง 2 ขั้วเลยก็ได้ ระบบไฟฟ้าจะได้ไม่ทำงาน ถือว่าผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ในระดับหนึ่ง

 
d-credit


เข้าร่วม: 07 พฤษภาคม 2014
ตอบ: 271

มีใบอนุญาตขับขี่
มีใบอนุญาตขับขี่

ได้รับคำขอบคุณ: 0
ให้คำขอบคุณ: 0
อังคาร, 27 มิถุนา 2017 20:29 - สินเชื่อรถยนต์ รถแลกเงิน รถผ่อนอยู้ก็กู้ได้ ไม่เช็คแบล็คลิส ติดแบล็คลิสก็จัดได้
กรองเดิมกับกรองเปลือย ต่างกันยังไง?
สมรรถนะของรถยนต์ถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างหนึ่ง ที่หลายๆ คนให้ความสนใจกันเป็นพิเศษ และบางคนถึงขั้นทุ่มสุดตัวเพื่อให้ได้สมรรถนะที่เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม ไล่ไปตั้งแต่การปรับแต่ง เปลี่ยนนู่นนี่นั่น เช่น เปลี่ยนท่อ ใส่เทอร์โบว์ ใส่กล่องแต่ง ลดน้ำหนักบอดี้ ฯลฯ และสิ่งหนึ่งที่พลาดไม่ได้เลยนั่นก็คือ กรองอากาศ
กรองเดิมส่วนใหญ่ที่ติดออกมาจากผู้ผลิตรถยนต์ ส่วนมากจะเป็นกระดาษหลายๆ แผ่นซ้อนกันที่อยู่ในกล่องด้านในห้องเครื่องยนต์ ซึ่งหน้าตาอาจแตกต่างกันไปแล้วแต่ยี่ห้อ ส่วนกรองเปลือยผลิต ขึ้นได้จากหลากหลายวัสดุ เช่น ผ้า สแตนเลส ฯลฯ นอกจากนี้มันยังโชว์ตัวอยู่ในห้องเครื่องเลย ไม่มีกล่องอะไรมาปิดกั้นเอาไว้ ส่วนรูปร่างหน้าตาก็มีให้เลือกหลายแบบ รวมไปถึงขนาด และสีสันด้วย
สำหรับความแตกต่างของกรองเดิมกับกรองเปลือย เราขอแยกออกมาเป็นข้อดี-ข้อเสีย ดังนี้
ข้อดี กรองเดิม
1. ไม่ต้องปรับแต่งภายในห้องเครื่องยนต์ เพียงแค่ซื้อไส้กรองตัวใหม่มาก็สามารถเปลี่ยนได้เลย
2. ราคามาตรฐาน ไม่แพง สามารถเปลี่ยนได้เลยที่ศูนย์บริการ อู่นอก หรือเปลี่ยนเองก็ได้
3. มีกำหนดระยะเวลาในการเปลี่ยนชัดเจน (เปลี่ยนเมื่อเช็กระยะ ฯลฯ)
ข้อเสีย กรองเดิม
1. ระยะเวลาในการใช้งานสั้น ต้องเปลี่ยนบ่อยๆ เมื่อถึงเวลาเช็กระยะ หรือหากสกปรกมาก
2. ครีบของกรองอาจล้มได้ ทำให้กรองสิ่งสกปรกได้ไม่ดีเท่าที่ควร
3. ดูดอากาศได้ไม่ดีเท่ากรองเปลือย
ข้อดี กรองเปลือย
1. มีหลากหลายราคา ขนาด และรูปทรงให้เลือกใช้
2. เพิ่มความเท่ ความสวยงามให้กับห้องเครื่อง
3. สามารถดูดอากาศได้ดีกว่ากรองเดิม
ข้อเสีย กรองเปลือย
1. เสียเงินเพิ่มขึ้น และต้องยอมเสียพื้นที่ภายในห้องเครื่อง เพื่อตีท่อเส้นใหม่ขึ้นมาใส่กรองเปลือย
2. หากติดตั้งไม่ดี หรือไม่ถูกจุด อาจทำให้แรงตกในรอบต้น (พยายามหาจุดที่มีอากาศร้อนน้อยที่สุด หรือทำที่กั้นห้องให้กรองเปลือย เพราะในห้องเครื่องมีแต่อากาศร้อน)
3. หากกรองเปลือยชำรุด ฉีกขาด หรือเสียหาย สิ่งสกปรกต่างๆ จะถูกดูดเข้าห้องเครื่องโดยตรงทันที
แต่หลักๆ แล้วทั้งกรองเดิม และกรองเปลือย มีหน้าที่ในการกรองอากาศที่จะเข้ามาในเครื่องยนต์ให้สะอาด และบริสุทธิ์ที่สุด เพื่อเครื่องยนต์จะได้ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ นอกจากนี้มันยังช่วยป้องกันไม่ให้ฝุ่นผง ฝุ่นละอองต่างๆ เข้าไปทำความเสียหายภายในอีกด้วย
สุดท้ายนี้ หากคุณใช้รถปกติ ไม่ได้เน้นความเร็วแรงอะไรมากมายนัก ใช้เพียงแค่กรองเดิมก็เพียงพอแล้ว แต่ถ้าคุณอยากเพิ่มสมรรถนะให้รถของคุณขับสนุก ขับมันส์ยิ่งขึ้น เปลี่ยนมาใช้กรองเปลือยได้เลย (อย่าลืมเลือกจุดติดตั้งให้เหมาะสม) แต่ที่สำคัญ ไม่ว่าจะใส่กรองอากาศอะไร ควรหมั่นตรวจเช็ก และดูแลรักษาความสะอาดให้ดี เพื่อที่รถสุดรักจะได้อยู่คู่กับคุณไปนานๆ
 
d-credit


เข้าร่วม: 07 พฤษภาคม 2014
ตอบ: 271

มีใบอนุญาตขับขี่
มีใบอนุญาตขับขี่

ได้รับคำขอบคุณ: 0
ให้คำขอบคุณ: 0
ศุกร์, 7 กรกฎา 2017 20:29 - สินเชื่อรถยนต์ รถแลกเงิน รถผ่อนอยู้ก็กู้ได้ ไม่เช็คแบล็คลิส ติดแบล็คลิสก็จัดได้
ขับรถทางไกลควรเติมลมยาง 'อ่อน' หรือ 'แข็ง' ดีกว่ากัน..?
การขับรถทางไกลที่ใช้ระยะเวลานานๆ จำเป็นต้องอาศัยปริมาณแรงดันลมยางที่เหมาะสม เพื่อป้องกันไม่ให้ยางระเบิด หรือยางสึกเร็วกว่าปกติ แล้วแบบนี้จะควรจะเติมลมยางให้อ่อนหรือแข็งกว่าปกติกันแน่?
คนจำนวนไม่น้อยเชื่อว่า การขับรถทางไกลควรเติมลมยางให้อ่อนกว่าปกติ เนื่องจากการที่ล้อหมุนต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน จะเป็นการเพิ่มแรงดันลมยาง จึงควรลดแรงดันลมยางเพื่อป้องกันไม่ให้ยางระเบิด ซึ่งเป็นความคิดที่ 'ผิด' เนื่องจากลมยางที่อ่อน จะทำให้ยางเกิดความยืดหยุ่น ก่อให้เกิดการเสียดสีกับพื้นถนนมากกว่าปกติ อีกทั้งจะทำให้ยางมีลักษณะเป็นคลื่นเนื่องจากไม่สามารถคงตัวเป็นรูปวงกลมได้ นานๆเข้าจะทำให้เกิดความร้อนสะสม หากตกหลุมแรงๆ ยังมีโอกาสเสี่ยงยางระเบิดมากกว่าปกติด้วย
ดังนั้น การขับรถเดินทางไกลควรเพิ่มแรงดันลมยางเข้าไปให้มากกว่าที่ผู้ผลิตแนะนำเล็กน้อยประมาณ 2-3 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว (PSI) หากรถรุ่นนั้นแนะนำให้เติมลมยาง 32 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว ก็ควรเพิ่มเป็น 34-35 ปอนด์ต่อตารางนิ้วก่อนเดินทาง จะยางสามารถคงรูปขณะหมุนได้ดี ลดการเสียดสีกับพื้นถนน ไม่ระเบิดง่าย แม้ว่าจะทำให้รถกระด้างขึ้นสักเล็กน้อย แต่ก็เป็นการเพิ่มความประหยัดน้ำมันไปในตัวอีกด้วย
นอกจากนั้น หากมีผู้โดยสารไปด้วยเต็มคันหรือต้องบรรทุกสัมภาระจำนวนมาก ก็ควรเพิ่มแรงดันลมยางล้อคู่หลังมากกว่าปกติด้วยเช่นกัน โดยดูจากสติกเกอร์แนะนำแรงดันลมยางที่ติดไว้บริเวณเสาข้างผู้ขับขี่หรือที่ระบุไว้ในคู่มือ เนื่องจากน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นจากด้านท้ายจะถูกถ่ายเทไปยังล้อคู่หลัง ทำให้เกิดการยืดหยุ่นของยางได้มากขึ้น จึงควรเพิ่มแรงดันลมให้เหมาะสมก่อนเดินทาง
ต่อไปนี้อย่าลืมนะครับ ก่อนออกเดินทางไกล ควรแวะเติมลมยางให้แข็งขึ้นอีกนิด จะช่วยให้ขับขี่ได้อย่างปลอดภัยมากยิ่งขึ้นครับ
sanook.com
d-credit


เข้าร่วม: 07 พฤษภาคม 2014
ตอบ: 271

มีใบอนุญาตขับขี่
มีใบอนุญาตขับขี่

ได้รับคำขอบคุณ: 0
ให้คำขอบคุณ: 0
จันทร์, 10 กรกฎา 2017 16:52 - สินเชื่อรถยนต์ รถแลกเงิน รถผ่อนอยู้ก็กู้ได้ ไม่เช็คแบล็คลิส ติดแบล็คลิสก็จัดได้
รถเอียง ซ้าย-ขวา เกิดจากอะไรบ้าง?
เมื่อรถของคุณถูกใช้งานมาสักระยะหนึ่ง อาจเกิดการผิดปกติในระบบบังคับเลี้ยวได้ ซึ่งการใช้งานรถในลักษณะต่างๆ ทำให้อุปกรณ์ชิ้นส่วนบางตัวเกิดความเสียหาย ไม่ได้มาตรฐานจากของเดิมที่ออกจากโรงงาน แล้วอาการไหนบ้างที่ทำให้รถเราเสียศูนย์ ก่อนไปศูนย์ซ่อมเราลองสังเกตเบื้องต้นได้ดังนี้
อะไรบ้าง? ที่ทำให้รถคุณผิดปกติ
1. ดัดแปลงสภาพช่วงล่างให้ต่างไปจากค่ามาตรฐานที่กำหนดมาจากโรงงาน
2. รถเกิดอุบัติเหตุชนหนักมาก่อน ทำให้ช่วงล่างเสียศูนย์
3. พวงมาลัยรถขับแล้วรู้สึกไม่แน่นเหมือนเดิม
4. รัศมีของวงเลี้ยวรถมีรัศมีที่ไม่เท่ากันทั้งซ้าย-ขวา
5. ยางรถสึกผิดปกติกินหน้ายางไม่เท่ากัน สังเกตดูได้จากดอกยาง
6. ระบบกันสะเทือนช่วงล่างเสื่อมหรือสึกหรอจากการใช้งาน เช่น ลูกหมากแร็ค ลูกหมากกันโคลง
7. เมื่อขับรถอยู่ในทางตรง แต่รถเกิดอาการเอียง ซ้าย-ขวา ทำให้ต้องขืนพวงมาลัย ดึงกลับมาให้ตรงตลอดเวลา
หากรถคุณมีอาการดังที่กล่าวมาเบื้องต้น ควรรีบนำรถไปเช็กที่อู่หรือศูนย์บริการทันที เพื่อให้ช่างตรวจสภาพรถ หากเป็นไม่มากนักแก้ด้วยการตั้งศูนย์ถ่วงล้อก็หาย แต่ถ้าชิ้นส่วนรถยนต์ชำรุดเสียหายก็ควรซ่อมหรือเปลี่ยนใหม่ทันทีไม่เช่นนั้น หากปล่อยไว้ อาจเกิดอุบัติเหตุไม่คาดฝันขึ้นได้ อย่าประมาทเลยเด็ดขาด
sanook.com
d-credit


เข้าร่วม: 07 พฤษภาคม 2014
ตอบ: 271

มีใบอนุญาตขับขี่
มีใบอนุญาตขับขี่

ได้รับคำขอบคุณ: 0
ให้คำขอบคุณ: 0
พฤหัส, 20 กรกฎา 2017 12:16 - สินเชื่อรถยนต์ รถแลกเงิน รถผ่อนอยู้ก็กู้ได้ ไม่เช็คแบล็คลิส ติดแบล็คลิสก็จัดได้
รู้ได้ไงว่ายางหมดสภาพ !

เคยสังเกตุกันไหมว่า อายุใช้งานยางมักจะ “สั้นลง” เรื่อยๆ ตามคำแนะนำของเจ้าของร้านยาง ชาสง ผู้จัดการ หรือเจ้าของอู่ซ่อม หรือศูนย์บริการ ที่ล้วนมีผลประโยชน์โดยตรงต่อการขายยางใหม่ แล้วความจริงคืออะไร มีสิ่งใดบ้างที่บอกว่ายาง “หมดสภาพ” แล้ว

1. ความลึกของดอกยาง
ความลึกของดอกยางมีผลโดยตรงต่อความปลอดภัยเมื่อขับบนถนนเปียก เพราะต้องช่วยรีดน้ำ เพื่อให้หน้ายางสัมผัสกับผิวถนนได้ดี ค่าที่เหมาะสมทางเทคนิค คือ ไม่ควรต่ำกว่า 3 มิลลิเมตร (ความลึกของดอกยางใหม่เอี่ยมประมาณ 8 ถึง 9 มิลลิเมตร)

2. โครงสร้างยางชำรุด
สิ่งที่กำหนดว่ายางหมดอายุที่จะใช้งานได้อย่างปลอดภัย ก็คือความชำรุดที่ส่งผลถึงโครงสร้างของยาง เช่น ถูกของมีคมบาดเป็นแผลใหญ่ หรือโครงสร้างซ้ำจากการเกิดอุบัติเหตุ เช่น ปีนขอบทางเท้าอย่างแรงจนขอบกระทะล้อชำรุด ซึ่งหมายความว่าโครงสร้างของหน้ายางและโดยเฉพาะแก้มยางต้องบอบช้ำมากแน่นอน หรือถูก “บด” จากการขับโดยไม่มีลมยางระยะทางไกล ก็ไม่สามารถใช้ต่อได้อย่างปลอดภัยอีกต่อไปครับ

3. อายุของยาง
ไม่เกิน 6 ปี นับตั้งแต่วันที่ผลิต (ดูที่ตัวเลขด้านข้างของยาง เช่น 1016 หมายถึง สัปดาห์ที่ 10 ปี2016) ระยะเวลานี้ไม่ถือว่านานมากสำหรับยางที่มีคุณภาพสูงพอ ใครที่บอกว่าไม่จริง เพราะเคยเจออายุแค่ 4 ปี ก็เสื่อมแล้ว แสดงว่ายางที่คุณใช้ คุณภาพยังไม่ได้มาตรฐาน

ถ้ายางคุณยังไม่เข้าข่ายหมดสภาพ ก็ไม่ต้องไปกังวลว่าจะใช้มากี่หมื่นกิโลเมตแล้ว ยกตัวอย่างเช่น ยางของคุณมีอายุเกือบ 4 ปี ใช้ไปแล้วเกือน 5 หมื่นกิโลเมตร แต่ยังเหลือดอกยางเกือบ 5 มิลลิเมตร เพราะศูนย์ล้อของรถคุณถูกต้อง ยางจึงสึกช้า ก็ไม่ต้องรีบเปลี่ยนใหม่ให้เปลืองเงิน ใช้ต่อไปได้ จนกว่าหัวข้อใดจะบ่งชี้ว่าหมดสภาพการใช้งาน

------------------------------
คอลัมน์ Online : MR. MOTOR EXPO & ลุงพิทักษ์
d-credit


เข้าร่วม: 07 พฤษภาคม 2014
ตอบ: 271

มีใบอนุญาตขับขี่
มีใบอนุญาตขับขี่

ได้รับคำขอบคุณ: 0
ให้คำขอบคุณ: 0
อาทิตย์, 23 กรกฎา 2017 18:16 - สินเชื่อรถยนต์ รถแลกเงิน รถผ่อนอยู้ก็กู้ได้ ไม่เช็คแบล็คลิส ติดแบล็คลิสก็จัดได้
หายสงสัยทำไมรถอับ!? 5 จุดภายในรถที่ถูกเมินและลืมทำความสะอาดมากที่สุด

รถยนต์เท่ห์ๆ ถือเป็นความภูมิใจอย่างนึงของหนุ่มๆ อย่างเรา ดูแลขัดสีฉวีวรรณให้เงาแว๊บ ปิ๊งปั๊ง ขับโฉบไปมาสาวๆ หนุ่มๆ พากันเหลียวหลังมอง แต่คุณรู้มั้ย?? มีบางจุดที่ถูกเมิน ไม่ใส่ใจและไม่ทำความสะอาดมันบ้างเลย ไม่ได้การณ์หละ แบบนี้เดี๋ยวสาวๆ จะหาว่าสวยแต่รูป จูบไม่หอม ไหนๆ จะทำให้รถเงาวิ๊ง ก้อต้องหันมาทำความสะอาดมันทุกซอกทุกมุมกันหน่อยหละนะ ไปดูๆ 5 จุดที่หลายๆ คนชอบเมินไม่ยอมทำความสะอาดจะมีจึดไหนกันบ้าง ดูแล้วสุดสัปดาห์นี้ก้ออย่าลืมดูแลกันน้าาาา
1.พรม
ใช่แว้วว อ่านไม่ผิดฮะ พรมนี่แหละที่หลายๆ คนมองข้าม บางคนอาจจะเถียงว่าล้างรถทุกครั้งก้อทำความสะอาดพรมนะ แต่คุณรู้มั้ย ส่วนพื้นใต้พรมหละทำความสะอาดกันรึเปล่า เอิ่ม!! จริงด้วยเนอะ ใต้พรมนี่แหละตัวเก็บฝุ่นและกลิ่นอับอย่างดีเลยทีเดียว วันไหนฤกษ์งามยามดี แวะไปให้ร้านรับทำความสะอาดพรมแบบมืออาชีพดูแลกันบ้าง 3 เดือนครั้งก้อยังดีนะฮะ เพื่อความสะอาดและสุขภาพของผู้ขับขี่เอง จะได้ไม่ต้องสูดฝุ่นเข้าปอดกันโน๊ะ
2. ที่เก็บของท้ายรถ
ถึงแม้ตรงนี้จะไม่มีคนนั่งก้อเถอะนะ แต่เราๆ ก้อมักจะขนนั่นขนนี้ใส่ท้ายรถตลอดไม่ใช่เหรอ รองเท้า, อุปกรณ์กีฬา, ของกินของใช้ต่างๆ นั่นแหละตัวการณ์ทำร้ายรถอย่างนึงเลย ลองนึกดู... คุณทำความสะอาดท้ายรถครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ เคยเปิดมันออกมาดูแลจริงจังมั้ย T_T พรมปูท้ายรถมันถูกออกแบบมาให้ยกทำความสะอาดได้ง่ายสุดๆ อ้อ แต่อย่าลืมเช็ดคราบต่างๆ ใต้ฝายางสำรองที่อยู่ข้างใต้ด้วยหละ เพื่อความสะอาดเอี่ยมอ่องในทุกๆ จุด
3. ผ้าใต้หลังคารถ
มั่นใจเลยว่าร้อยละ 90 ไม่เคยทำความสะอาดผ้าใต้หลังคาเลย คุณรู้มั้ย...พื้นที่ตรงนี้เป็นตัดดักกลิ่นควันบุหรี่,กลิ่นอาหารได้ดีเลยทีเดียว คงไม่ดีแน่ๆ ถ้ารถสวยๆ มีกลิ่นอับหรือคราบสกปรก แต่หลายๆ คนมักจะมองข้ามมันไป แค่เอื้อมมือไปเช็ดมันหน่อยคงไม่เสียเวลาหรอกเนอะ เพียงใช้ผ้านุ่มๆ กับ Turtle wax เช็ดออก แค่นี้ก้อหมดกลิ่นกวนใจ แถมยังได้รถสวยๆ หอมๆ กลับมาอีก
4. ที่วางแก้ว
หลายคนแอบคิดว่า โอ๊ยย จะต้องเช็ดมันไปทำไม เดี๋ยวก้อวางแก้วน้ำทับมันไปหละ แต่ๆ คุณคิดผิดนะ คราบน้ำคราบเหียวๆ จากน้ำหวานนี่แหละตัวดี พอแห้งแล้วมันเป็นคราบเหนียวหนึบหนับทำความสะอาดยากยิ่งขึ้นไปอีก อย่าขี้เกียจเลยนะฮะ มันทำความสะอาดง่ายม๊าก..มาก แค่ยกแผ่นยางรองมาล้างๆ เช็ดคราบภายในนิดหน่อย แค่เนี่ยมันก้อดูสะอาดเหมือนใหม่ แถมไม่มีคราบอะไรมาให้หงุดหงิดใจด้วย
5. เบาะ
เชื่อเลยว่าบางจุดคุณเมินมันไปแน่นอน ตะเข็บเล็กๆ ระหว่างเบาะและพื้นที่รอยต่อผนักพิงกับเบาะนั่ง นั่นแหละแหล่งสะสมคราบและเศษอาหารอย่างดีทีเดียว ว่างๆ ดูดฝุ่นตามรอยตะเข็บหรือใช้แปรงปัดคราบและเศษอาหารออกกันบ้างเนอะๆ จะได้สะอาดหมดจด ไร้คราบ ทุกๆ จุดกันไปเลย
เห็นมั้ยหละฮะ บางจุดเล็กๆ น้อยๆ ที่เราปล่อยละเลยกันไป มันอาจเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคดีๆ เลยทีเดียว รู้แบบนี้แล้วคงต้องหาเวลาทำความสะอาดรถกันครั้งใหญ่ จะได้สะอาดเอี่ยม ไร้คราบ ไร้เชื้อโรค ขับผ่านใครๆ ก้อเหลียวหลัง ใครมานั่งรถก้อสูดอากาศสดชื่น ไม่ต้องทนสูดกลิ่นอับและเชื้อโรคเข้าปอด แหม่ๆ เห็นมั้ยว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกตั้งหลายตัวแหนะ
d-credit


เข้าร่วม: 07 พฤษภาคม 2014
ตอบ: 271

มีใบอนุญาตขับขี่
มีใบอนุญาตขับขี่

ได้รับคำขอบคุณ: 0
ให้คำขอบคุณ: 0
พุธ, 26 กรกฎา 2017 14:35 - สินเชื่อรถยนต์ รถแลกเงิน รถผ่อนอยู้ก็กู้ได้ ไม่เช็คแบล็คลิส ติดแบล็คลิสก็จัดได้
เปลี่ยนไส้กรองเกียร์ ล้างเช็กเต็มระบบ!
สำหรับรถยนต์เกียร์ออโต้จะมีความจุกจิกมากกว่าเกียร์รถธรรมดา เพราะต้องใช้น้ำมันเกียร์เป็นตัวขับเคลื่อนภายในห้องเกียร์ จึงต้องหมั่นตรวจสอบและเปลี่ยนถ่ายตามคู่มือกำหนดหรือเปลี่ยนถ่ายก่อนได้ยิ่งดี แนะนำว่าควรเปลี่ยนถ่ายทุก 20,000 – 30,000 km. หรือเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ 1 ครั้ง ของการถ่ายน้ำมันเครื่องครั้งที่ 2 โดยปกติเกียร์รถยนต์จะมีอายุการใช้งานยาวนานนับ 10 ปี หรือมากกว่านี้แต่ต้องขึ้นอยู่กับการดูแลบำรุงรักษา
การถ่ายน้ำมันเกียร์จะไม่สามารถเปลี่ยนถ่าย น้ำมันเก่าออกได้ 100% เป็นเพียงการทำให้เจือจาง (dilute) ลงเท่านั้นเอง เพราะน้ำมันเกียร์ส่วนที่เหลือจะตกค้างภายในชิ้นส่วนที่เรียกว่า ทอร์คคอนเวอร์เตอร์, ระบบเกียร์ภายใน, วาว์ลบอดี้ ซึ่งไม่สามารถเปลี่ยนถ่ายออกมาได้ทั้งหมด เพราะทุกครั้งที่ถ่ายน้ำมันเกียร์ จะได้น้ำมันใหม่เข้าไปแทนของเดิมที่ถ่ายออกมาอัตราส่วนประมาณ 30/70 หรือ 40/60 เท่านั้น
หากคุณต้องการถ่ายน้ำมันเกียร์ออกให้หมดแบบเต็มระบบ พร้อมเปลี่ยน “ไส้กรองน้ำมันเกียร์” ทำความสะอาดชุด “โซลินอยด์” ต้องไปเข้าศูนย์หรืออู่ที่ช่างมีความชำนาญด้านเกียร์ เพราะต้องให้ช่างเปิดอ่างเกียร์ออกมาเพื่อล้างระบบภายในเท่านั้น
วิธีสังเกตอาการเกียร์เริ่มมีปัญหา
- เกียร์ตอบสนองช้า เข้าเกียร์ไปแล้วรถหยุดนิ่งสักพักก่อนเคลื่อนตัว
- มีอาการสะดุดเมื่อเปลี่ยนเกียร์
ขั้นตอนการถ่ายน้ำมันเกียร์ออโต้
- เตรียมน้ำมันเกียร์ ออโต้ ต้องเป็นสเปคเดิมเท่านั้น ลองเช็กที่ (คู่มือรถ)
- ใช้แม่แรงยกรถให้เอียงเล็กน้อย จะทำให้น้ำมันเกียร์ถ่ายออกมามากขึ้น
- ภาชนะ ที่รองรับน้ำมันเกียร์ (ควรหาแกลลอนที่มีตัวเลข บอกปริมาณน้ำมันที่ถ่ายออกมาได้) เพราะต้องใส่น้ำมันเกียร์ของใหม่กลับไปเท่าของเดิม
- ไขน็อตออกใช้ประแจแหวนเบอร์ 14, 19 
- รอน้ำมันเกียร์ไหลออก จากนั้นไขน็อตกลับเข้าที่เดิม
- เติมน้ำมันเกียร์ ในปริมาณที่เท่ากับน้ำมันเก่าที่ถ่ายออกมา
เปลี่ยนไส้กรองเกียร์ ล้างเช็กเต็มระบบ!
14 ก.ค. 60 (18:19 น.) เปิดอ่าน 7,071 ความคิดเห็น 1 พิมพ์หน้านี้ ก ก
846
ถูกแชร์ทั้งหมด
แชร์เรื่องนี้ 
ทวีตเรื่องนี้
อีเมล์
more
เปลี่ยนไส้กรองเกียร์ ล้างเช็กเต็มระบบ!
เปลี่ยนไส้กรองเกียร์ ล้างเช็กเต็มระบบ!
Silkspan
สนับสนุนเนื้อหา
สำหรับรถยนต์เกียร์ออโต้จะมีความจุกจิกมากกว่าเกียร์รถธรรมดา เพราะต้องใช้น้ำมันเกียร์เป็นตัวขับเคลื่อนภายในห้องเกียร์ จึงต้องหมั่นตรวจสอบและเปลี่ยนถ่ายตามคู่มือกำหนดหรือเปลี่ยนถ่ายก่อนได้ยิ่งดี แนะนำว่าควรเปลี่ยนถ่ายทุก 20,000 – 30,000 km. หรือเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ 1 ครั้ง ของการถ่ายน้ำมันเครื่องครั้งที่ 2 โดยปกติเกียร์รถยนต์จะมีอายุการใช้งานยาวนานนับ 10 ปี หรือมากกว่านี้แต่ต้องขึ้นอยู่กับการดูแลบำรุงรักษา
การถ่ายน้ำมันเกียร์จะไม่สามารถเปลี่ยนถ่าย น้ำมันเก่าออกได้ 100% เป็นเพียงการทำให้เจือจาง (dilute) ลงเท่านั้นเอง เพราะน้ำมันเกียร์ส่วนที่เหลือจะตกค้างภายในชิ้นส่วนที่เรียกว่า ทอร์คคอนเวอร์เตอร์, ระบบเกียร์ภายใน, วาว์ลบอดี้ ซึ่งไม่สามารถเปลี่ยนถ่ายออกมาได้ทั้งหมด เพราะทุกครั้งที่ถ่ายน้ำมันเกียร์ จะได้น้ำมันใหม่เข้าไปแทนของเดิมที่ถ่ายออกมาอัตราส่วนประมาณ 30/70 หรือ 40/60 เท่านั้น
หากคุณต้องการถ่ายน้ำมันเกียร์ออกให้หมดแบบเต็มระบบ พร้อมเปลี่ยน “ไส้กรองน้ำมันเกียร์” ทำความสะอาดชุด “โซลินอยด์” ต้องไปเข้าศูนย์หรืออู่ที่ช่างมีความชำนาญด้านเกียร์ เพราะต้องให้ช่างเปิดอ่างเกียร์ออกมาเพื่อล้างระบบภายในเท่านั้น
103
วิธีสังเกตอาการเกียร์เริ่มมีปัญหา
- เกียร์ตอบสนองช้า เข้าเกียร์ไปแล้วรถหยุดนิ่งสักพักก่อนเคลื่อนตัว
- มีอาการสะดุดเมื่อเปลี่ยนเกียร์
ขั้นตอนการถ่ายน้ำมันเกียร์ออโต้
- เตรียมน้ำมันเกียร์ ออโต้ ต้องเป็นสเปคเดิมเท่านั้น ลองเช็กที่ (คู่มือรถ)
- ใช้แม่แรงยกรถให้เอียงเล็กน้อย จะทำให้น้ำมันเกียร์ถ่ายออกมามากขึ้น
- ภาชนะ ที่รองรับน้ำมันเกียร์ (ควรหาแกลลอนที่มีตัวเลข บอกปริมาณน้ำมันที่ถ่ายออกมาได้) เพราะต้องใส่น้ำมันเกียร์ของใหม่กลับไปเท่าของเดิม
- ไขน็อตออกใช้ประแจแหวนเบอร์ 14, 19 
- รอน้ำมันเกียร์ไหลออก จากนั้นไขน็อตกลับเข้าที่เดิม
- เติมน้ำมันเกียร์ ในปริมาณที่เท่ากับน้ำมันเก่าที่ถ่ายออกมา
ขั้นตอนเปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเกียร์
- ควรเปลี่ยนไส้กรองเกียร์ที่ระยะ 50,000 – 70,000 km. หรือเดินตามคู่มือรถ
- ใช้แม่แรงยกรถขึ้น พร้อมหาไม้หมอนมารองเพื่อความปลอดภัย
- ถ่ายน้ำมันเกียร์เก่าออกโดยใช้ประแจแหวนเบอร์ 14 หรือเบอร์ 19 
- ใช้ประแจบล็อคเบอร์ 10 ถอดน็อตอ่างน้ำมันเกียร์ทั้งหมด 21 ตัว
- เปลี่ยนไส้กรองเกียร์ให้ตรงสเปคกับของเดิม 
- ไหนๆก็ถอดอ่างเกียร์แล้วให้เช็กระบบภายในทั้งหมดเพราะไม่ได้ล้างเกียร์แบบนี้บ่อยๆนัก
ขอย้ำอีกครั้งหากคุณจะเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์แบบเต็มระบบต้องเลือกอู่ที่มี ช่างเชี่ยวชาญด้านเกียร์หรือศูนย์บริการที่ไว้ใจได้เท่านั้น หรือถ้าคุณเองมีความเชี่ยวชาญและเป็นช่างอยู่แล้วอันนี้ไม่ว่ากันจะมีความรู้มากกว่าผู้เขียนด้วยซ้ำไป แต่ถ้าคุณไม่ได้เชี่ยวชาญก็อย่าลืมหาข้อมูลก่อนล้างเกียร์แบบเต็มระบบนะครับ
d-credit


เข้าร่วม: 07 พฤษภาคม 2014
ตอบ: 271

มีใบอนุญาตขับขี่
มีใบอนุญาตขับขี่

ได้รับคำขอบคุณ: 0
ให้คำขอบคุณ: 0
อังคาร, 1 สิงหา 2017 19:07 - สินเชื่อรถยนต์ รถแลกเงิน รถผ่อนอยู้ก็กู้ได้ ไม่เช็คแบล็คลิส ติดแบล็คลิสก็จัดได้
วิธีป้องกัน และแก้ไข แอร์รถยนต์เหม็นอับ!
นับเป็นปัญหาใหญ่เลยทีเดียว หากระบบทำความเย็น หรือแอร์รถยนต์มีปัญหา ยิ่งถ้าเป็นปัญหาแอร์ไม่เย็น มีแต่ลมร้อน ก็ต้องเสียเงินซ่อม หรือเปลี่ยนอะไหล่ใหม่กันไป แต่ถ้าเป็นเพราะ แอร์รถยนต์เหม็นอับ ก็พอจะมีทางแก้ไขได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องไปเสียเงินเยอะแยะอะไรมากมาย
แต่ก่อนที่จะไปดูวิธีแก้ไข เรามาดูกันก่อนดีกว่าว่า เพราะเหตุใดแอร์ถึงมีกลิ่นเหม็นอับ ซึ่งหลักๆ แล้วมันเกิดขึ้นจาก เชื้อราชนิดหนึ่ง และเชื้อราชนิดนี้เกิดขึ้นได้ก็เพราะคอยล์เย็นแห้งไม่สนิท หรือมีความชื้นจากการทำงานของแอร์นั่นเอง นอกจากนี้ยังมีพวกฝุ่นผง สิ่งสกปรกต่างๆ ภายในรถ และน้ำหอมติดรถยนต์ ที่ระเหย และวนเวียนอยู่ภายในอากาศ คอยเข้าไปเกาะแผงคอยล์เย็น จนทำให้เกิดการสะสม และหมักหมมเพิ่มมากขึ้น
สำหรับวิธีป้องกัน และแก้ไขเพื่อไม่ให้เกิดกลิ่นอับภายในรถยนต์ มีอยู่ 7 ข้อ ดังนี้
1. ให้กดสวิทช์ปุ่ม A/C เพื่อปิดการทำงานของระบบแอร์ จากนั้นเปิดพัดลมโดยเร่งไปที่เบอร์แรงสุด ก่อนที่จะถึงที่หมาย หรือก่อนจอดรถประมาณ 5 นาที เพื่อไล่ความชื้นออก และช่วยลดการหมักหมมในระบบแอร์
2. นำรถไปจอดกลางแดด จากนั้นเปิดกระจก เปิดประตูทิ้งไว้ทุกบาน เพื่อระบายความชื้น และกลิ่นเหม็นอับต่างๆ
3. ใส่ถ่านหุงข้าวไว้ในรถ เพื่อช่วยดูดซับกลิ่นต่างๆ
4. ใช้สเปรย์ปรับอากาศฉีดพ่นภายในรถ
5. ใส่ดอกไม้ หรือสมุนไพรไว้ในรถ เช่น ดอกมะลิ ใบเตย ฯลฯ เพราะของพวกนี้มันจะมีน้ำมันหอมระเหยตามธรรมชาติ สามารถใช้กลบกลิ่นเหม็นอับต่างๆ ได้
6. น้ำส้มสายชู ให้ใส่ถ้วยแล้ววางไว้ภายในรถประมาณ 2 ชั่วโมง ความเปรี้ยวของมันจะช่วยดูดกลิ่นอับต่างๆ ให้หายไป
7. ใส่เบกกิ้งโซดา หรือผงฟูไว้ในถ้วยแล้ววางไว้ในรถ มันจะช่วยดูดกลิ่นต่างๆ รวมไปถึงกลิ่นบุหรี่ให้หายไปได้
นอกจากจะช่วยป้องกัน และแก้ไขกลิ่นเหม็นอับต่างๆ แล้ว บางข้อยังช่วยยืดอายุการใช้งานของแอร์รถยนต์ให้ยืนยาวขึ้นอีกด้วย และที่สำคัญ คุณควรจะล้างแอร์ปีละ 1 ครั้ง ก็จะถือว่าดีที่สุดครับ
ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ
d-credit


เข้าร่วม: 07 พฤษภาคม 2014
ตอบ: 271

มีใบอนุญาตขับขี่
มีใบอนุญาตขับขี่

ได้รับคำขอบคุณ: 0
ให้คำขอบคุณ: 0
ศุกร์, 4 สิงหา 2017 20:00 - สินเชื่อรถยนต์ รถแลกเงิน รถผ่อนอยู้ก็กู้ได้ ไม่เช็คแบล็คลิส ติดแบล็คลิสก็จัดได้
เปลี่ยนใบปัด และตรวจเชคระบบปัดน้ำฝน เรื่องง่ายๆ (แต่บางคน) ทำไม่ได้ เสียฟอร์มแย่ !

ระบบปัดน้ำฝนอาจดูเป็นเรื่องเล็กๆ สำหรับคนใช้รถทั่วไป มักจะละเลย และนึกไม่ถึง กว่าจะมาเห็นความสำคัญอีกทีก็ตอนเจอฝน (อย่างขณะนี้) เข้าแล้ว ซึ่งอาจสายเกินไปก็ได้

เมื่อเข้าสู่หน้าฝน คนส่วนมากมักตรวจเชคเฉพาะแค่ยางรถยนต์อย่างเดียว แต่ยังมีอีกจุดหนึ่งที่ต้องพูดถึงอยู่บ่อยๆ นั่นคือ ระบบปัดน้ำฝน เนื่องจากเป็นส่วนสำคัญในการเพิ่มทัศนวิสัยของการขับขี่ขณะฝนตกได้อย่างมหาศาล ถ้าเราไม่ตรวจเชคให้ดี เวลาปัดน้ำฝนไปแล้วจะเป็นเส้นๆ หรือมัวๆ ทำให้มองเห็นไม่ชัดเจนอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้

ระบบปัดน้ำฝน ประกอบด้วยอุปกรณ์หลักๆ 4 ชนิด ได้แก่ มอเตอร์ปัดน้ำฝน ก้านปัดน้ำฝน แขนปัดน้ำฝนและใบปัดน้ำฝน

มอเตอร์ปัดน้ำฝน

มอเตอร์ปัดน้ำฝน มีหน้าที่สร้างแรงจากการเหนี่ยวนำของสนามแม่เหล็ก โดยสมัยก่อนจะเป็นแบบขดลวด คือ มีการใช้ขดลวดพันรอบแกนเพื่อสร้างสนามแม่เหล็ก แต่ปัจจุบันนี้จะเป็นแบบแม่เหล็กถาวรกันหมดแล้ว โดยใช้แม่เหล็กถาวรเฟอร์ไรท์เพื่อสร้างสนามแม่เหล็ก ในปัจจุบันมอเตอร์แบบแม่เหล็กถาวรได้ถูกพัฒนาทำให้มีขนาดเล็กและเบา จึงนิยมใช้กันอย่างกว้างขวาง

ก้านปัดน้ำฝน

ก้านปัดน้ำฝน ถูกส่งไม้ต่อ โดยมีหน้าที่เปลี่ยนแปลงการหมุนของมอเตอร์ มาเป็นการเคลื่อนที่แบบส่ายไป/มาของแกนหมุน ซึ่งด้านซ้าย/ขวาของก้านปัดน้ำฝน มักจะสั้น/ยาวไม่เท่ากัน ทั้งนี้ก็เพื่อจะได้แนบกับส่วนโค้งของกระจกได้ดี

หน้าที่หลักของก้านปัดน้ำฝน คือ การกวาดน้ำออกจากกระจก ก้านปัดน้ำฝนที่ดี ต้องรีดน้ำออกจากกระจกได้สม่ำเสมอ ไม่ก่อให้เกิดเสียงขณะปัด ไม่แข็งกระด้างสามารถปัดได้เกลี้ยง หากพบว่าการปัดไม่เกลี้ยงยางมีรอยขาดและปัดเรียบแต่บางช่วง ก็ถึงเวลาต้องเปลี่ยนได้แล้ว

น้ำล้างกระจก

น้ำที่ฉีดจากระบบฉีดน้ำฝน ถือเป็นสิ่งสำคัญในการปัดล้างทำความสะอาดกระจก แถมยังช่วยถนอมยางของก้านปัดได้อีกด้วย ควรหมั่นตรวจเชคระดับน้ำในกระป๋องน้ำฉีดกระจกให้เต็มอยู่เสมอ ถ้าเป็นไปได้ ควรเติมน้ำยาล้างกระจกลงในกระป๋องน้ำฉีดกระจกบ้าง เพื่อช่วยขจัดคราบต่างๆ ให้ง่ายยิ่งขึ้น เพราะน้ำยาล้างกระจก มีคุณสมบัติไม่ทำให้เกิดการกัดกร่อนยางหรือสี แต่จะชำระล้างสิ่งสกปรก และคราบน้ำมัน โดยการปัดของใบปัดน้ำฝน

คุณสมบัติที่ดีของใบปัดน้ำฝน

– ทำงานได้ดี และมีประสิทธิภาพ หน้าสัมผัสของยางปัดน้ำฝนระหว่างปลายของยางปัดกับผิวกระจกประมาณ 0.01-0.05 มิลลิเมตร
– มีความทนทาน และทนความร้อน ยางปัดต้องทำจากยางคุณภาพสูง สามารถทนต่อแสงแดด รังสีอุลทราไวโอเลท โอโซน และไอเสีย
– ทนต่อสารเคมี (CHEMICAL RESISTANCE) ใบปัดต้องทนต่อสารเมธานอล (METHANAL) และสารละลายอื่นๆ ที่ใช้ในการล้าง
– ทนต่อการทำงานของสารเคมี (ANTI-CORROSION) ใบปัดต้องมีการป้องกันสนิม และไม่เป็นตัวนำ เพื่อป้องกันใบปัดจากสารซัลไฟท์ในอากาศ
– มีความมั่นคง (STABILITY) ใบปัดต้องมั่นคง และไม่ยกขึ้นเมื่อใช้ความเร็วสูง

อุปกรณ์

1. น้ำยาเคลือบกระจก
2. น้ำยาล้างกระจก
3. ก้านปัดน้ำฝน
4. น้ำสะอาด
5. ผ้าสะอาด

ขั้นตอนการเปลื่ยนใบปัดน้ำฝน และการบำรุงรักษาทั่วไป

1. เชคโดยการฉีดน้ำปัดน้ำฝนดูการทำงานของมอเตอร์ และก้านปัด
2. เมื่อเห็นว่าปัดไม่ดี ควรเปลี่ยนโดยดึงแขนปัดน้ำฝนขึ้นก่อน แล้วหาผ้ามารองบริเวณก้านปัดเดิม เพื่อกันแขนปัดดีดกลับ
3. สำรวจเขี้ยวลอค ด้านปลายแขนใบปัดด้านหนึ่ง จะลอคยางใบปัดไว้
4. บีบยางบริเวณเขี้ยวที่ลอคใบปัด เพื่อหลบเขี้ยวลอค ให้ยางหลุดออกมา และดึงออกจากแขนใบปัด
5. ประกอบยางกับใบปัดอันใหม่ แล้วดันเข้าไปตามช่องในโครงใบปัด
6. ดันจนกระทั่งยางเข้าลอคกับแขนใบปัด และลองขยับดูว่าแน่นสนิทหรือยัง
7. ทำตามวิธีที่ 3-6 กับอีกฝั่งหนึ่ง โดยเทียบกับของเดิม แล้วลองเชคโดยฉีดน้ำปัดน้ำฝนดู
8. เชครูฉีดน้ำล้างกระจกว่าอุดตันหรือไม่ ใช้เข็มปรับให้ฉีดน้ำในตำแหน่งที่เหมาะสม
9. เปิดฝากระโปรงเชคน้ำในหม้อพักน้ำฉีดกระจก
10. ถ้าพร่องให้เติมน้ำสะอาดผสมกับน้ำยาล้างทำความสะอาดกระจกลงไปให้ถึงระดับ FULL
11. เชคสายท่อน้ำล้างกระจกว่าพับ หรือรั่ว หรือไม่ เสร็จแล้วปิดฝากระโปรงลง
12. ยกแขนปัดน้ำฝนขึ้น นำผ้าสะอาดพร้อมกับน้ำยาเคลือบกระจกมาเช็ดเพื่อทำความสะอาดกระจก
13. ฉีดน้ำยาให้ทั่วกระจกก่อน แล้วจึงใช้ผ้าสะอาดเช็ดจนแห้ง เพื่อเวลาฝนตกน้ำจะได้ไม่เกาะกระจก
14. เอาแขนปัดน้ำฝนลง เชคความเรียบร้อยอีกครั้ง เป็นอันเสร็จ

การดูแลระบบปัดน้ำฝนให้พร้อมรับมือกับฤดูฝน ถือเป็นการป้องกันภัยจากอุบัติเหตุอีกทางหนึ่ง ฉะนั้นไม่ควรมองข้ามครับ

------------------------------
เรื่องโดย : วิธวินท์ ไตรพิศ
นิตยสาร 4WHEELS ฉบับเดือน สิงหาคม ปี 2553
คอลัมน์ : DIY…คุณทำเองได้
d-credit


เข้าร่วม: 07 พฤษภาคม 2014
ตอบ: 271

มีใบอนุญาตขับขี่
มีใบอนุญาตขับขี่

ได้รับคำขอบคุณ: 0
ให้คำขอบคุณ: 0
พุธ, 9 สิงหา 2017 19:27 - สินเชื่อรถยนต์ รถแลกเงิน รถผ่อนอยู้ก็กู้ได้ ไม่เช็คแบล็คลิส ติดแบล็คลิสก็จัดได้
วิธีป้องกันรถไม่ให้มี “งู” ออกมา
เข้าหน้าฝนทีไรหลายท่านคงเบื่อกับการล้างรถ เพราะส่วนมากวันที่ไม่ล้างอากาศมักปลอดโปร่งโล่งสบาย แต่เมื่อเรานำรถไปล้างปุ๊บเมฆดำก็ลอยมาในบัดดล บรรยากาศอึมครึมคล้ายคนที่ถูกราหูเคลื่อนย้ายเข้ามาในราศีของท่าน แต่สิ่งที่มากับฝนตก น้ำท่วม ก็จะมีพวกสัตว์เลื้อยคลาน ที่ชอบมาพักอาศัยหาไออุ่นบริเวณเครื่องยนต์ประหนึ่งนอนอยู่บนเตาผิงดีๆ นี่เอง หรืออาจมาอยู่หลังจากที่ตัวเปียกเพราะไปโผล่ตามชักโครกชาวบ้านก็เป็นได้
ในฤดูฝนต้องหมั่นสังเกตความผิดปกติต่างๆ ของรถคุณให้ดี โดยเฉพาะพื้นที่ตามเขตปริมณฑล หรือต่างจังหวัด บริเวณห้องเครื่องรถยนต์มักมีงูมีหนูชอบมาอาศัยหลบฝนอยู่เป็นประจำดังที่เคย เห็นเป็นข่าวมาแล้ว ซึ่งบางครั้งงูก็สามารถสร้างความเสียหายต่อชิ้นส่วนรถยนต์คุณได้ เช่น ไปนอนขดที่ใบพัดหม้อน้ำ ถ้าเป็นงูตัวใหญ่ๆ ถึงขั้นทำให้ใบพัดหม้อน้ำแตก คุณต้องเสียทั้งเงิน และเวลาเป็นอย่างมาก ฯลฯ
เหตุการณ์แบบนี้ ถ้าคนไม่เคยโดนอาจคิดว่าเป็นแค่เรื่องขำๆ แต่เชื่อเถอะว่ามันมีผลเสียตามมา อย่างร้ายแรงจนคุณขำไม่ออกเลยทีเดียว เพราะหากระบบในห้องเครื่องเสียหายขึ้นมาเมื่อไหร่รับรองว่างานเข้าแน่ๆ และเพราะเหตุนี้ เราจึงรวบรวมวิธีป้องกัน และไล่เจ้าสัตว์ร้ายเบื้องต้นให้ได้รับทราบกันดังนี้
วิธีป้องกันไม่ให้มี “งู” มานอนในห้องเครื่อง
- ให้เลี้ยงสัตว์ เช่น แมว หรือสุนัข เพราะนอกจากคนที่มันชอบเห่าแล้ว งูก็ถือว่าเป็นสัตว์คู่อริกันมาแต่ชาติปางก่อน มักจะเห่า และคอยกัดกับงูไม่หยุด ซึ่งนั่นเป็นสัญญาณเตือนที่ดีที่จะทำให้เรารู้ว่า งูได้เข้ามาในบ้าน หรือรถของคุณแล้ว
- โรยกำมะถันไว้ในโรงจอดรถ เพียงแค่นำผงกำมะถันมาผสมกับน้ำ หรือยาเส้นแล้วคนให้เข้ากัน เทราดตามขอบโรงจอดรถ หรือเทราดโดยรอบๆ บริเวณรถคุณ เพราะงูไม่ชอบกลิ่นฉุน งูอาจเกิดอาการจามฮัดเช้ยขึ้นมา จริงหรือเปล่าไม่รู้ แต่ที่แน่ๆงูไม่ชอบกลิ่นฉุนครับ
- น้ำมันเครื่องเก่า เอามาชุปกับผ้าให้ชุ่ม นำไปวางตามจุดต่างๆ ในโรงจอดรถ เมื่องูได้กลิ่นน้ำมันเครื่องจะป้องกันไม่เข้ามาบริเวณรถของคุณ
- ใช้มะกรูด หาได้ที่ครัวในบ้าน นำผลมะกรูดมาผ่าซีก ไว้ตามจุดบริเวณตามขอบโรงจอดรถ หรือเอาไว้รอบๆ รถก็ได้ เจ้างูร้ายจะไม่เข้ามาที่รถคุณ
สำหรับสถานที่จอดรถใครที่มีความเสี่ยงดังที่กล่าวมาข้างต้น ลองนำวิธีนี้ไปใช้ดูครับ เจ้างูร้ายจะไม่เข้ามานอนในรถคุณ หรือตามติดชีวิตคุณไปทุกที่ เพราะถ้าเป็นแบบนั้น แค่คิดก็สยองแล้วครับ
d-credit


เข้าร่วม: 07 พฤษภาคม 2014
ตอบ: 271

มีใบอนุญาตขับขี่
มีใบอนุญาตขับขี่

ได้รับคำขอบคุณ: 0
ให้คำขอบคุณ: 0
พฤหัส, 17 สิงหา 2017 19:27 - สินเชื่อรถยนต์ รถแลกเงิน รถผ่อนอยู้ก็กู้ได้ ไม่เช็คแบล็คลิส ติดแบล็คลิสก็จัดได้
กรมการขนส่งทางบก ยกระดับการออกใบอนุญาตขับรถสู่มาตรฐานสากล เพิ่มเทคโนโลยีทันสมัยป้องกันการปลอมแปลง อาทิ แถบแม่เหล็ก (Magnetic Strip), QR Code เก็บข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ พร้อมเพิ่มความสามารถรองรับระบบบริหารจัดการด้านความปลอดภัยทางถนน กำหนดวันที่ 15 สิงหาคม 2560 ยกเลิกใบขับขี่แบบกระดาษ และจะได้รับใบขับขี่ Smart card รูปแบบปัจจุบัน โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม 100 บาท และตั้งแต่วันที่ 4 กันยายน 2560 เริ่มออกใบขับขี่ Smart card รูปแบบใหม่ที่มีเทคโนโลยีทันสมัยครบถ้วนเพียงรูปแบบเดียว
.
นายสนิท พรหมวงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า กรมการขนส่งทางบกเตรียมยกระดับเทคโนโลยีใบอนุญาตขับรถแบบพลาสติกหรือ Smart card ตามมาตรฐานสากล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมความปลอดภัย ป้องกันการปลอมแปลงด้วยระบบเทคโนโลยีทันสมัย ด้วยแถบข้อมูลแม่เหล็ก (Magnetic Strip) และเพิ่มเทคโนโลยี QR Code จัดเก็บข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ รองรับการพัฒนา Application เพื่อความสะดวกในการอ่านข้อมูลและนำมาใช้ประโยชน์ในการบริหารจัดการด้านความปลอดภัยทางถนนในอนาคต อย่างไรก็ตาม ในระยะแรกของการเตรียมปรับรูปแบบใบอนุญาตขับรถสู่มาตรฐานสากล กรมการขนส่งทางบกกำหนดยกเลิกการออกใบอนุญาตขับรถรูปแบบกระดาษ ตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2560 เป็นต้นไป โดยประชาชนจะได้รับใบอนุญาตขับรถ Smart card รูปแบบที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม 100 บาท ที่เป็นแบบสมัครใจตามเดิม เนื่องจากเป็นการดำเนินการเองโดยกรมการขนส่งทางบก ส่งผลให้ประชาชนไม่ต้องรับภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมนอกเหนือจากอัตราค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาตขับรถตามที่กรมการขนส่งทางบกกำหนดเท่านั้น ดังนั้น กรณีที่ขอรับใบอนุญาตขับรถยนต์ชั่วคราว จากอัตราเดิมคือ 305 บาท จะเสียเฉพาะค่าธรรมเนียมและค่าคำขอรวม 205 บาท กรณีเป็นใบอนุญาตขับรถยนต์ส่วนบุคคล จากอัตราเดิมคือ 605 บาท จะเสียเฉพาะค่าธรรมเนียมและค่าคำขอรวม 505 บาท ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 4 กันยายน 2560 เป็นต้นไป กรมการขนส่งทางบกจะเริ่มดำเนินการออกใบอนุญาตขับรถ Smart card รูปแบบใหม่ ที่มีเทคโนโลยี QR Code ให้แก่ผู้ขอรับใบอนุญาตขับรถทั้งตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์และกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก เพียงรูปแบบเดียว เพื่อประโยชน์ในการควบคุมกำกับดูแลความปลอดภัยของประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนอย่างมีประสิทธิภาพและมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ อย่างไรก็ตาม สำหรับประชาชนที่ได้รับใบอนุญาตขับรถรูปแบบกระดาษ ที่กรมการขนส่งทางบกออกให้ก่อนวันที่ 15 สิงหาคม 2560 รวมถึงใบอนุญาตขับรถ Smart card ที่ออกให้ก่อนวันที่ 4 กันยายน 2560 ยังคงสามารถใช้งานได้ตามกำหนดอายุการใช้งานของใบอนุญาตขับรถ แต่หากชำรุด สูญหาย หรือถึงกำหนดระยะเวลาต่ออายุใบอนุญาตขับรถ เมื่อติดต่อขอทำใหม่จะได้รับใบอนุญาตขับรถ Smart card รูปแบบใหม่เท่านั้น 
.
อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับใบอนุญาตขับรถ Smart card รูปแบบใหม่เป็นบัตรพลาสติกซึ่งมีความคงทนถาวรกว่ารูปแบบเดิม มีความปลอดภัย น่าเชื่อถือ ด้วยเทคโนโลยีแถบข้อมูลแม่เหล็ก (Magnetic Strip) เทคโนโลยี QR Code จัดเก็บข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ พร้อมระบบบริหารจัดการด้านความปลอดภัยทางถนน เช่น รองรับการเชื่อมโยงข้อมูลผ่านระบบ GPS Tracking เป็นเครื่องมือในการบันทึกข้อมูลการขับรถ โดยเฉพาะรถโดยสารสาธารณะ และรถบรรทุกขนส่ง ทั้งรถบรรทุกวัตถุอันตราย และรถบรรทุกสิบล้อขึ้นไป รถแท็กซี่ หรือรถในกลุ่มเป้าหมายตามที่กรมการขนส่งทางบกประกาศบังคับใช้แล้ว นอกจากนี้ ใบอนุญาตขับรถ Smartcard รูปแบบใหม่ ยังมีความสวยงามเป็นสากล ปรากฏข้อมูลเจ้าของบัตรทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษควบคู่กัน สามารถนำไปใช้ขับรถได้ในประเทศสมาชิกอาเซียน ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ บรูไน เวียดนาม ลาว พม่า และกัมพูชา โดยไม่ต้องทำใบอนุญาตขับรถสากลตามความตกลงร่วมกัน เพื่อให้การคมนาคมระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนมีความสะดวกมากยิ่งขึ้น เพิ่มความสามารถในการรองรับการพัฒนาระบบการบริหารจัดการด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีในอนาคต 
--------------------------------------
d-credit


เข้าร่วม: 07 พฤษภาคม 2014
ตอบ: 271

มีใบอนุญาตขับขี่
มีใบอนุญาตขับขี่

ได้รับคำขอบคุณ: 0
ให้คำขอบคุณ: 0
จันทร์, 21 สิงหา 2017 19:55 - สินเชื่อรถยนต์ รถแลกเงิน รถผ่อนอยู้ก็กู้ได้ ไม่เช็คแบล็คลิส ติดแบล็คลิสก็จัดได้
วิธีเลือกและดูแลใบปัดน้ำฝน

กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)​ แนะผู้ขับขี่เลือกใช้ที่ปัดน้ำฝนที่ทำจากโลหะ �มีขนาดเหมาะสมกับมาตรฐานที่รถกำหนด การเลือกและดูแลใบปัดน้ำฝน ทำอย่างไรบ้างตามมาดูกันเลย

นายฉัตรชัย พรหมเลิศ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เปิดเผยว่า ใบปัดน้ำฝนเป็นอุปกรณ์ที่มีความจำเป็นต่อการใช้งานในช่วงฤดูฝน ทำให้ผู้ขับขี่มีทัศนวิสัยในการมองเห็นเส้นทางอย่างชัดเจน จึงช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ​ �เพื่อความปลอดภัย กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ขอแนะ การเลือกใช้และดูแลใบปัดน้ำฝนให้พร้อม�ใช้งานในช่วงฤดูฝน ดังนี้

การเลือกใช้ใบปัดน้ำฝน

ใช้ใบปัดน้ำฝนที่ผลิตจากวัสดุและเนื้อยางที่มีคุณภาพดี เพื่อให้สามารถใช้งานได้อย่างคงทน โครงของใบปัดน้ำฝนทำจากโลหะ เพื่อป้องกันการกระพือจากแรงลมในขณะขับรถด้วยความเร็วสูง และช่วยเพิ่มน้ำหนักในการรีดน้ำจากกระจก มีขนาดเหมาะสมกับมาตรฐานที่รถกำหนด

หากใบปัดน้ำฝนมีขนาดเล็กเกินไป ทำให้รัศมีในการ�ปัดน้ำฝนน้อยลง ส่งผลต่อทัศนวิสัยในการมองเห็นเส้นทาง หากใบปัดน้ำฝนมีขนาดใหญ่มากไป ใบปัดจะเลยขอบกระจก ทำให้มีอายุการใช้งานสั้นลง

ยางใบปัดน้ำฝนแนบสนิทกับกระบังลมหน้า-หลัง เลือกที่มีความยืดหยุ่นและมีขนาดพอดีกับก้านใบปัดน้ำฝน เนื้อยาง�มีคุณสมบัติพิเศษ ไม่เสื่อมสภาพเร็วเกินไป และคงทนต่อสภาพอากาศร้อน

วิธีสังเกตลักษณะของใบปัดน้ำฝนที่เสื่อมสภาพ

- เนื้อยางแข็งกรอบและมีรอยฉีกขาด 
- กวาดน้ำบนกระจกไม่สะอาด รีดน้ำจากกระจกไม่หมด 
- กวาดแล้วมีรอยขุ่นมัวหรือละอองน้ำเป็นม่านบนกระจก 
- ยางปัดน้ำฝนมีอายุใช้งานมานานมากกว่า 1 ปี 
- มีเสียงดังและมีอาการกระตุกขณะใช้งาน ซึ่งเกิดจากการเสียดสีกันระหว่างใบปัดน้ำฝนกับกระจก

การดูแลใบปัดน้ำฝน

- จอดรถในที่ร่ม เพื่อป้องกันแสงแดด ทำให้ยางใบปัดน้ำฝนแข็งกรอบและขาดความยืดหยุ่น เพราะยางต้องแนบกับกระจกที่รับความร้อน 
- หมั่นตรวจสอบสภาพและทำความสะอาดยางใบปัดน้ำฝน โดยยกก้านใบปัดน้ำฝนขึ้นและ�ใช้ผ้าชุบน้ำสะอาดเช็ดตามแนวยาวของใบปัดน้ำฝน 
- ไม่ใช้ผงซักฟอกทำความสะอาดใบปัดน้ำฝน เพราะทำให้ยางเสื่อมสภาพเร็วและสีรถได้รับความเสียหาย 
- ใช้น้ำยาเช็ดกระจกและเคลือบกระจกอยู่เสมอ จะทำให้กระจกสะอาดและใบปัดน้ำฝนทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

กรณีใบปัดน้ำฝนชำรุด

หากยางปัดน้ำฝน ฉีกขาด แข็งกรอบ ปัดน้ำไม่สะอาด มีเสียงดังหรือสะดุดขณะใช้งาน มีรอยขีดข่วนบนกระจก ให้เปลี่ยนชุดใบปัดน้ำฝนใหม่ เติมน้ำผสมน้ำยาเช็ดกระจกหรือแชมพูในกระปุกฉีดน้ำ จะช่วยขจัดคราบสกปรกบนกระจกได้สะอาดขึ้น

กรณีหัวฉีดน้ำอุดตัน

ใช้เข็มหมุดเจาะบริเวณรู พร้อมปรับทิศทางของช่องฉีดน้ำให้อยู่แนวกึ่งกลางของกระจกรถ

ทั้งนี้ การใช้ใบปัดน้ำฝนที่เสื่อมสภาพ นอกจากจะไม่สามารถกวาดน้ำบนกระจกได้สะอาดแล้ว ยังส่งผลให้กระจกหน้ารถเป็นรอย โดยเฉพาะการขับรถในช่วงที่ฝนตกหนัก ทำให้มีทัศนวิสัยในการมองเห็นเส้นทางไม่ชัดเจน จึงเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ
d-credit


เข้าร่วม: 07 พฤษภาคม 2014
ตอบ: 271

มีใบอนุญาตขับขี่
มีใบอนุญาตขับขี่

ได้รับคำขอบคุณ: 0
ให้คำขอบคุณ: 0
ศุกร์, 1 กันยา 2017 13:51 - สินเชื่อรถยนต์ รถแลกเงิน รถผ่อนอยู้ก็กู้ได้ ไม่เช็คแบล็คลิส ติดแบล็คลิสก็จัดได้
นอกจากจะต้องคอยนำรถยนต์เข้าเช็กระยะและคอยสังเกตอาการผิดปกติต่างๆ แล้ว การดูแล รถที่จอดตากแดดบ่อยๆ ระหว่างทำธุระ หรือจอดไว้ที่ทำงาน ฯลฯ ก็ถือเป็นเรื่องใกล้ตัวที่ไม่ควรมองข้าม

เพราะใช่ว่าทุกที่จะมีที่จอดรถในร่มเสมอ หรือต่อให้มี บางทีก็อาจจะเต็ม จนคุณต้องวนรถออกไปจอดตากแดดข้างนอก ทำให้รถของเราต้องเผชิญกับสิ่งต่างๆ โดยไม่มีอะไรปกปิด หรือป้องกัน ซึ่งปัญหาส่วนใหญ่ที่จะเกิดขึ้นก็คือ สีรถซีดจางลงเร็วกว่าปก หรือรถที่จอดในร่ม เพราะรังสีความร้อนของพระอาทิตย์ และยังมีปัญหาของฝุ่นผง สิ่งสกปรกต่างๆ เช่น ขี้นก ที่นอกจากจะทำให้รถเปรอะเปื้อนแล้ว มันยังทำให้รถเป็นรอยด่างๆ ดวงๆ รวมไปถึงความเสียหายภายในรถยนต์ ที่เกิดจากความร้อนที่สะสม และอบอยู่ภายในรถเป็นเวลานาน ฯลฯ

สำหรับวิธีดูแลรถที่ต้องจอดกลางแจ้ง หรือจอดตากแดดเป็นประจำ มีอยู่ 3 ข้อ ง่ายๆ ดังนี้

1. ใช้ผ้าคลุมรถ ไม่ว่าจะเป็นผ้าคลุมสะท้อนแสงที่แถมจากศูนย์บริการตอนซื้อรถใหม่ หรือจะไปหาซื้อทีหลังก็ได้ เพราะมันสามารถช่วยปกป้อง และครอบคลุมรถได้ทั้งหมด แต่ตอนใช้ก็ต้องระวังให้ดี เพราะอาจจะมีเศษฝุ่นเศษทราย หรือสิ่งสกปรกอื่นๆ ที่ติดรถ ขูดขีดกับผ้าในระหว่างใช้งานตอนคลุม และตอนเก็บ ยังไงก็ดูให้ดี และก็ทำแบบเบามือหน่อย

2. เต็นท์คลุมรถแบบพับเก็บได้ บางคนอาจยังไม่รู้จัก แต่จริงๆ แล้วมันมีขายในบ้านเรามาพักใหญ่ๆ แล้ว แถมยังกันแดดได้ดีเกือบเท่ากับการนำรถไปจอดในที่ร่ม ซึ่งมันมีขนาดให้เลือกใช้มากมาย เวลาจะซื้อมาใช้ก็ควรดูให้ดี ว่ามันพอดีกับรถคุณหรือไม่ นอกจากนี้ยังต้องดูพื้นที่ในการจอดด้วยว่า มีความกว้างขวางพอให้กางเจ้าเต็นท์นี้รึเปล่า เพราะมันออกจะดูเกะกะไปสักหน่อย และก็ต้องระวังให้ดีในวันที่มีลมพัดแรง เนื่องจากมันอาจปลิวไปตามแรงลมจนไปทำความเสียหายให้กับรถคันอื่นได้ ดังนั้นคุณจึงควรติดตั้งให้แน่น และตรวจเช็กดูความเรียบร้อยให้ดีในทุกๆ ครั้งที่ใช้งาน

3. เคลือบสีรถ หากไม่อยากเสี่ยงกับผ้าคลุมรถ (กลัวรถเป็นรอย) หรือเต็นท์คลุมรถแบบพับเก็บได้ (กลัวจะหลุดไปโดนรถคันอื่น) วิธีนี้ถือว่าง่ายที่สุดแล้ว เพียงแค่นำรถเข้าร้านคาร์แคร์ หรือจะทำเองเดือนละครั้งก็ได้ เพราะการเคลือบสีรถสามารถช่วยปกป้องรังสีจากดวงอาทิตย์ แถมยังช่วยถนอมสีรถไม่ให้จืดจางซีดเร็ว แต่ถ้าอยากปกป้องแบบขั้นสุด เคลือบแก้วไปเลย เพราะการเคลือบแก้ว จะเพิ่มชั้นฟิล์มขึ้นมาปกป้องอีกชั้นหนึ่ง เพื่อป้องกันชั้นสีแท้ที่อยู่ด้านล่างเอาไว้ และยังช่วยลดความรุนแรงในการทำลายของแสงแดดได้อีกด้วย

หากเป็นไปได้ คงไม่มีใครอยากจอดรถไว้กลางแดดกันหรอก เพราะเชื่อว่าแต่ละคนก็คงรับรู้ถึงความรุนแรงของแสงแดดในบ้านเรา ว่ามันร้อนแรง และรุนแรงขนาดไหน แต่ถ้าหลีกหนีการจอดรถตากแดดไม่ได้จริงๆ ลองนำวิธีเหล่านี้ไปใช้ดู แม้บางข้ออาจจะดูยุ่งยาก วุ่นวาย และเสียเวลา แต่ถ้าคุณรักรถของคุณ เรื่องพวกนี้มันอาจจะดูเป็นแค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไปเลยก็ได้
d-credit


เข้าร่วม: 07 พฤษภาคม 2014
ตอบ: 271

มีใบอนุญาตขับขี่
มีใบอนุญาตขับขี่

ได้รับคำขอบคุณ: 0
ให้คำขอบคุณ: 0
อังคาร, 5 กันยา 2017 19:44 - สินเชื่อรถยนต์ รถแลกเงิน รถผ่อนอยู้ก็กู้ได้ ไม่เช็คแบล็คลิส ติดแบล็คลิสก็จัดได้
กรมการขนส่งทางบก ระบุ!!! มาตรการเข้มงวดการใช้รถป้ายแดงป้องกันปัญหาการใช้รถผิดกฎหมาย กำหนดดำเนินการแบบเป็นขั้นตอน เบื้องต้นระหว่าง วันที่ 1 ตุลาคม – 31 ธันวาคม 2560 จับ-ปรับในอัตราเบื้องต้นกับรถป้ายแดงที่ยังไม่จดทะเบียน นานเกิน 60 วันนับจากรับรถ และตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561 เป็นต้นไป เข้มงวดจับ-ปรับตามกฎหมายกับรถป้ายแดงที่ยังไม่จดทะเบียนเกิน 30 วัน นับจากวันรับรถ จนกว่ากฎหมายยกเลิกป้ายแดงจะมีผลบังคับใช้
นายสนิท พรหมวงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า กรมการขนส่งทางบกและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมกำหนดมาตรการเข้มงวดการใช้รถป้ายแดง เพื่อป้องกันปัญหาการใช้รถผิดกฎหมาย และอาจเป็นช่องทางการก่อปัญหาอาชญากรรมของกลุ่มมิจฉาชีพที่ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยและยากต่อการควบคุมกำกับดูแลการใช้รถใช้ถนน ดังนั้น เพื่อให้ประชาชนและผู้จำหน่ายรถมีการปรับตัว จึงกำหนดแนวทางดำเนินการบังคับมาตรการทางกฎหมายแบบเป็นขั้นตอน ร่วมกับการสร้างความเข้าใจ การรับรู้ โดยจะเริ่มบังคับใช้มาตรการทางกฎหมายตรวจสอบรถป้ายแดงที่ยังไม่จดทะเบียนนานเกิน 60 วัน นับแต่วันรับรถ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม – 31 ธันวาคม 2560 เป็นต้นไป หากพบการฝ่าฝืนจะพิจารณาอัตราเปรียบเทียบปรับในอัตราเบื้องต้น ควบคู่กับการแนะนำและตักเตือน พร้อมชี้แจงมาตรการการบังคับใช้กฎหมายซึ่งจะมีความเข้มข้นขึ้น ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2560 เป็นต้นไป กรมการขนส่งทางบกและสำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการเข้มงวดตรวจจับรถป้ายแดงที่ยังไม่จดทะเบียนเกิน 30 วัน นับจากวันรับรถ หากพบการใช้งานป้ายแดงเกินกำหนดระยะเวลา เปรียบเทียบปรับในฐานความผิดตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ.2522 มาตรา 6 ฐานใช้รถที่ยังไม่จดทะเบียน ปรับไม่เกิน 10,000 บาท โดยจะดำเนินการตรวจจับอย่างต่อเนื่องเข้มข้นไปจนกว่ากฎหมายยกเลิกการใช้ป้ายแดงจะมีผลบังคับใช้ ดังนั้น ผู้จำหน่ายรถต้องระบุวันที่รับรถในสมุดคู่มือการใช้ป้ายแดง เพื่อให้เจ้าของรถแสดงต่อเจ้าพนักงานได้ทันทีเมื่อถูกเรียกตรวจสอบ พร้อมทั้งผู้จำหน่ายรถ ต้องจัดทำรายงานข้อมูลการรับรถส่งกรมการขนส่งทางบกเป็นประจำทุกเดือน
อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ มาตรการเข้มงวดดังกล่าวเพื่อป้องกันปัญหาการใช้รถผิดกฎหมาย เนื่องจากป้ายแดงตามกฎหมายแล้วถือเป็นรถที่ยังไม่ได้จดทะเบียน เป็นเพียงเครื่องหมายพิเศษที่กรมการขนส่งทางบกออกให้แก่บริษัทจำหน่ายรถอนุญาตให้ใช้เฉพาะกรณีเพื่อขายหรือเพื่อซ่อมเท่านั้น เช่น การขับจากโรงงานผู้ผลิตไปส่งยังผู้แทนจำหน่าย หรือขับจากผู้แทนจำหน่ายส่งไปยังผู้ซื้อ โดยในการเคลื่อนย้ายแต่ละครั้งต้องใช้คู่กับสมุดคู่มือประจำรถและใบอนุญาตให้ใช้รถ หรือได้รับอนุญาตเป็นครั้งคราว โดยจะเข้มงวดกวดขันตามมาตรการดังกล่าว จนกว่ากฎหมายการยกเลิกป้ายแดงจะมีผลบังคับใช้ ซึ่งจะกำหนดให้รถยนต์ใหม่ทุกคันต้องจดทะเบียนก่อนใช้งานบนท้องถนน ซึ่งในปัจจุบันกรมการขนส่งทางบกใช้ระยะเวลาในการจดทะเบียนรถใหม่เพียงวันเดียว จึงขอให้ประชาชนจดทะเบียนรถให้ถูกต้องตามกฎหมายเพื่อการใช้รถที่ถูกต้องและปลอดภัย อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวในที่สุด
d-credit


เข้าร่วม: 07 พฤษภาคม 2014
ตอบ: 271

มีใบอนุญาตขับขี่
มีใบอนุญาตขับขี่

ได้รับคำขอบคุณ: 0
ให้คำขอบคุณ: 0
พฤหัส, 7 กันยา 2017 10:33 - สินเชื่อรถยนต์ รถแลกเงิน รถผ่อนอยู้ก็กู้ได้ ไม่เช็คแบล็คลิส ติดแบล็คลิสก็จัดได้
สาเหตุที่ทำให้รถกินน้ำมันมากกว่าปกติ มีอะไรบ้าง?

เชื่อว่าทุกคนรู้ดีอยู่แล้วว่า พลังงานในการขับเคลื่อนรถทุกชนิดส่วนใหญ่มาจากน้ำมัน ซึ่ง ณ ปัจจุบันก็มีการคิดค้น และพัฒนา เพื่อหาพลังงานอื่นๆ มาทดแทน เนื่องจากน้ำมันเป็นพลังงานที่ใช้แล้วหมดไป หากถึงเวลาเมื่อไหร่ น้ำมันอาจหมดโลก ไม่มีให้เราใช้แล้วก็ได้

แต่กว่าที่เราจะพัฒนาไปถึงขั้นที่ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำมัน คาดว่าคงอีกหลายสิบ หลายร้อยปี กว่าจะทำสำเร็จ ตอนนี้เราทุกคนจึงจำเป็นที่จะต้องช่วยกันประหยัดน้ำมันให้มากที่สุดเท่าที่ จะทำได้ แต่บางครั้งคุณอาจรู้สึกว่า รถที่เราใช้งานอยู่ ทำไมถึงเริ่มกินน้ำมันมากกว่าปกติ ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนไม่ได้กินขนาดนี้

ซึ่งจริงๆ แล้วมันมีสาเหตุอยู่หลายปัจจัยที่ทำให้เครื่องยนต์ของคุณ กินน้ำมันมากกว่าปกติ แต่หลักๆ แล้วมีดังนี้

1. กรองอากาศสกปรก อุดตัน ทำให้อากาศไหลผ่านเข้าห้องเผาไหม้ได้น้อย เครื่องยนต์ทำงานได้ไม่เต็มที่

2. ระบบจุดระเบิดมีปัญหา เช่น สายหัวเทียนชำรุด หัวเทียนบอด ตั้งจังหวะจุดระเบิดไม่ถูกต้อง หรือสายคอยล์ขาด ฯลฯ

3. ส่วนผสมระหว่างน้ำมันเชื้อเพลิงกับอากาศไม่ถูกต้อง อาจเป็นไปได้ที่ช่างจะปรับให้ส่วนผสม หรือก็คือน้ำมันเชื้อเพลิงหนามากเกินไป

Advertisement
4. เครื่องยนต์หลวม อาจเป็นเพราะอายุ ความเก่า หรือการใช้งานหนักแบบตะบี้ตะบัน จึงทำให้กำลังอัดของเครื่องยนต์ลดน้อยลงไป

หากพบอาการผิดปกติเหล่านี้ ให้รีบแก้ไข หรือนำรถไปตรวจเช็กที่ศูนย์บริการ หรืออู่ซ่อมทันที เพราะหากปล่อยทิ้งไว้นาน นอกจากจะสิ้นเปลืองน้ำมันแล้ว มันอาจส่งผลเสียไปยังส่วนอื่นๆ ของเครื่องยนต์ได้อีกด้วย
d-credit


เข้าร่วม: 07 พฤษภาคม 2014
ตอบ: 271

มีใบอนุญาตขับขี่
มีใบอนุญาตขับขี่

ได้รับคำขอบคุณ: 0
ให้คำขอบคุณ: 0
อังคาร, 12 กันยา 2017 20:12 - สินเชื่อรถยนต์ รถแลกเงิน รถผ่อนอยู้ก็กู้ได้ ไม่เช็คแบล็คลิส ติดแบล็คลิสก็จัดได้
วิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้า 'เบรกแตก-คันเร่งค้าง' รับรองรอดชัวร์...!

ปัจจุบันปัญหา 'เบรกแตก' หรือ 'คันเร่งค้าง' พบได้น้อยลงกว่าสมัยก่อนเยอะ เพราะเทคโนโลยีการผลิตรถยนต์ที่ก้าวหน้าไปมาก ทำให้วิศวกรสามารถออกแบบระบบต่างๆ ให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

แต่อย่างไรก็ดี หากเราใช้รถเกินลิมิตของมัน เช่น เหยียบเบรกตลอดเวลาขณะลงเขาจนเบรกร้อนจัด หรือมีพรมปูพื้นเข้าไปขัดกับแป้นคันเร่ง จนทำให้เกิดเหตุการณ์คันเร่งค้าง เหล่านี้ก็สามารถเกิดขึ้นได้เช่นกัน Sanook! Auto จึงขอแนะนำวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้าหากเกิดเหตุการณ์ 'เบรกแตก' หรือ 'คันเร่งค้าง' หากมีสติพอที่จะปฎิบัติตามนี้แล้วล่ะก็ รับรองว่าจะสามารถควบคุมรถได้อย่างปลอดภัยแน่นอน

#เบรกแตก

ปัญหารถเบรกแตกในปัุจจุบันมักพบได้บ่อยในรถที่ขับลงเขาด้วยความเร็วสูง โดยใช้วิธีเหยียบเบรกเพื่อชะลอความเร็วตลอดเวลา จนทำให้ผ้าเบรกและจานเบรกร้อนจัด จนเสียประสิทธิภาพในการชะลอความเร็วไป เมื่อถึงจุดนั้นต่อให้เหยียบเบรกแรงแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ แถมรถยังเพิ่มความเร็วตามความชันของเส้นทางจนไม่อาจควบคุมทิศทางได้

ดังนั้น การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในกรณีรถเบรกแตก ไม่สามารถชะลอหรือหยุดรถด้วยการเบรกได้นั้น ก่อนอื่น "ห้ามดับเครื่องยนต์เด็ดขาด" เพราะจะทำให้พวงมาลัยเพาเวอร์หนักขึ้นและไม่สามารถเหยียบเบรกได้ สิ่งแรกที่ต้องทำคือการลดตำแหน่งเกียร์เป็น "L" ทันที เพื่อให้รถใช้เกียร์ต่ำสุด จะทำให้เกิดเอนจิ้นเบรก (Engine Brake) ช่วยชะลอความเร็วลงได้ ซึ่งตำแหน่งเกียร์ต่ำสุดในรถแต่ละคันอาจแตกต่างกันออกไป เช่น L, 2 หรือ 1 ซึ่งกรณีที่เป็นเกียร์แบบมีแป้น +, - ให้ผลักมาที่โหมด M พร้อมกับลดตำแหน่งเกียร์ลงมาทันที

เมื่อความเร็วลดลงจนปลอดภัยแล้ว ให้ลองพยายามเหยียบเบรกอีกครั้ง แต่หากความเร็วไม่ลดลง ให้ดึงเบรกมือขึ้นอย่างนุ่มนวลเพื่อป้องกันล้อล็อคตาย โดยประคองพวงมาลัยไว้ให้มั่นคงควบคู่กันไป

#คันเร่งค้าง

รถยนต์รุ่นใหม่ในปัจจุบันจะถูกติดตั้งระบบ Brake Override มาให้ ซึ่งจะช่วยตัดการทำงานของคันเร่งเมื่อเหยียบเบรก ทำให้รถไม่พุ่งไปข้างหน้าและสามารถชะลอความเร็วได้อย่างปลอดภัย

แต่สำหรับรถที่ไม่มีระบบดังกล่าวมาให้ หากเกิดเหตุการณ์คันเร่งค้างจากสาเหตุใดก็ตาม ห้ามดับเครื่องยนต์เด็ดขาด ให้ปลดเกียร์เป็นเกียร์ว่าง (N) รอบเครื่องยนต์จะพุ่งขึ้นสูงทันที แต่ตัวรถจะไม่เพิ่มความเร็ว จากนั้นให้เหยียบเบรกเพื่อชะลอความเร็วอย่างปลอดภัย ในกรณีที่เป็นรถไฮบริดที่ใช้คันเกียร์แบบไฟฟ้า ให้ผลักคันเกียร์ไปที่ตัว N ค้างไว้ ก็จะสามารถเข้าเกียร์ว่างขณะรถเคลื่อนที่ได้เช่นกัน

สิ่งสำคัญในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าก็คือ 'สติ' หากสามารถปฎิบัติตามคำแนะนำข้างต้นได้ทันท่วงที ก็จะช่วยให้รอดพ้นเหตุการณ์อันตรายได้อย่างปลอดภัยครับ
d-credit


เข้าร่วม: 07 พฤษภาคม 2014
ตอบ: 271

มีใบอนุญาตขับขี่
มีใบอนุญาตขับขี่

ได้รับคำขอบคุณ: 0
ให้คำขอบคุณ: 0
อังคาร, 19 กันยา 2017 12:13 - สินเชื่อรถยนต์ รถแลกเงิน รถผ่อนอยู้ก็กู้ได้ ไม่เช็คแบล็คลิส ติดแบล็คลิสก็จัดได้
กรมการขนส่งทางบก เปิดตัวหน้าเว็บไซต์โฉมใหม่ ให้บริการชำระภาษีรถประจำปีผ่านอินเทอร์เน็ต เน้นสะดวก ใช้งานง่าย สามารถชำระภาษีได้ทุกที่ทุกเวลา พร้อมจัดส่งเอกสารถึงบ้าน ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนใช้งานได้แล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ที่ https://eservice.dlt.go.th
.
นายณันทพงศ์ เชิดชู รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก และโฆษกกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า กรมการขนส่งทางบกพัฒนาการให้บริการประชาชนในทุกด้านอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างมาตรฐานคุณภาพการบริการภาครัฐที่สามารถเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม โดยนำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามามีส่วนสำคัญในการลดขั้นตอน ลดระยะเวลาด้วยมาตรฐานความถูกต้องแม่นยำสูงสุด ซึ่งปัจจุบันกรมการขนส่งทางบกได้ขยายการให้บริการรับชำระภาษีรถประจำปีทั้งภายในสำนักงาน ภายนอกสำนักงาน บริการเลื่อนล้อต่อภาษี Drive Thru For Tax ชำระภาษีโดยไม่ต้องลงจากรถ ชำระที่ห้างสรรพสินค้า Shop Thru For Tax ในวันเสาร์-อาทิตย์ รวมถึงการให้บริการผ่านระบบอินเทอร์เน็ตที่ได้รับความนิยมจากประชาชนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจากสถิติในปีงบประมาณ 2559 (ต.ค. 58 - ก.ย. 60) จัดเก็บภาษีรถประจำปีผ่านระบบอินเทอร์เน็ตได้ทั้งสิ้น 133,627,650.66 บาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ 2559 ที่จัดเก็บได้ทั้งสิ้น 101,533,758.11 บาท แสดงถึงการขยายตัวของความนิยมในการเลือกใช้บริการผ่านช่องทางดังกล่าว ดังนั้น เพื่อยกระดับการให้บริการให้ตอบโจทย์ประชาชนมากยิ่งขึ้น กรมการขนส่งทางบกได้พัฒนาเว็บไซต์รับชำระภาษีรถประจำปีผ่านระบบอินเทอร์เน็ตให้มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้น โดยเน้นความสะดวก ใช้งานง่าย และสามารถเข้าถึงเมนูการใช้งานต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว เปิดให้ลงทะเบียนเพื่อเข้าใช้งานได้แล้วที่ https://eservice.dlt.go.th ตั้งแต่วันนี้ เป็นต้นไป สำหรับสมาชิกที่เคยลงทะเบียนใช้งานไว้ก่อนวันที่ 31 สิงหาคม 2560 สามารถขอรับรหัสผ่านใหม่ได้ที่เมนู “ลืมรหัสผ่าน” เพื่อเข้าใช้งานเว็บไซต์ได้ตามปกติ
.
นายณันทพงศ์ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า การให้บริการชำระภาษีรถประจำปีผ่านอินเทอร์เน็ตมีเงื่อนไขต้องเป็นรถเก๋ง รถกระบะ หรือรถตู้ ที่มีอายุการใช้งานไม่เกิน 7 ปี และรถจักรยานยนต์มีอายุการใช้งานไม่เกิน 5 ปี มีขั้นตอนการใช้งานที่ไม่ซับซ้อน โดยหลังจากลงทะเบียนสมัครใช้บริการ กรอกรายละเอียดเกี่ยวกับรถให้ครบถ้วน ระบบอำนวยความสะดวกให้เลือกชำระเงินได้ 3 รูปแบบ คือ การหักจากบัญชีเงินฝากกับธนาคารที่เข้าร่วมโครงการ การชำระด้วยบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต และชำระผ่านเคาน์เตอร์ธนาคารหรือสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ และเมื่อดำเนินการชำระภาษีรถประจำปีเรียบร้อยแล้ว กรมการขนส่งทางบกจะจัดส่งใบเสร็จรับเงิน และเครื่องหมายแสดงการเสียภาษี ให้ผู้ชำระเงินทางไปรษณีย์ภายใน 10 วันนับจากวันชำระเงิน โดยมีค่าจัดส่งเอกสาร 40 บาททั่วไทย หลังจากนั้นเจ้าของรถสามารถนำใบคู่มือจดทะเบียนรถไปปรับรายการได้ที่สำนักงานขนส่งทั่วประเทศ นอกจากนี้ ยังมีบริการให้เลือกซื้อกรมธรรม์ประกันภัยผ่านเว็บไซต์ได้ทันที สำหรับผู้ที่กรมธรรม์สิ้นอายุหรือระยะเวลาคุ้มครองเหลือน้อยกว่า 3 เดือน ศึกษารายละเอียดการใช้บริการได้ที่เว็บไซต์ https://eservice.dlt.go.th หรือ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่หมายเลขโทรศัพท์ 0-2271-8888 ต่อ 9313 ในวันและเวลาราชการ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวในที่สุด
----------------------------------
d-credit


เข้าร่วม: 07 พฤษภาคม 2014
ตอบ: 271

มีใบอนุญาตขับขี่
มีใบอนุญาตขับขี่

ได้รับคำขอบคุณ: 0
ให้คำขอบคุณ: 0
พฤหัส, 21 กันยา 2017 17:14 - สินเชื่อรถยนต์ รถแลกเงิน รถผ่อนอยู้ก็กู้ได้ ไม่เช็คแบล็คลิส ติดแบล็คลิสก็จัดได้
สินเชื่อรถยนต์ วงเงินสูงสุด สมัครง่าย ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์หรือผู้ค้ำประกัน  พิมพ์ว่า:

สินเชื่อรถยนต์ วงเงินสูงสุด สมัครง่าย ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์หรือผู้ค้ำประกัน 
ให้ยอดสูงถึง 120% ต้องการเงินสด รถคุณช่วยได้ ให้ดอกถูกผ่อนนานไม่มีเงินเดือนประจำก็ยื่นได้  
 - รับรถปี 2002 ขึ้นไป ให้ยอดจัดสูง ดอกเบี้ยต่ำ อนุมัติง่าย ถูกต้องตามกฏหมาย ผ่อนได้สูงสุด 72 งวด
 - รับรถทุกรุ่นทุกยี่ห้อ รถหรู รถสปอร์ตนำเข้าราคาแพง ไม่จำกัดวงเงิน 
    หรือรถบ้านทั่วไป 
 - ที่อื่นไม่รับเราจัดให้ ได้ทั้ง ลูกค้า บุคคล หรือ บริษัท 
    ยื่นทีเดียวพร้อมกันหลายคันก็ได้ 
 - ที่เก่าผ่อนสูง ต้องการยืดระยะเวลาให้ผ่อนน้อยลงสามารถทำได้
 - รถยังผ่อนอยู่ แต่อยากใช้เงินก็สามารถทำได้
   (เช็คยอดค้างไฟแนนซ์ทั้งหมดก่อนโทรปรึกษา)
 - อยู่ต่างจังหวัด สามารถจัดไฟแนนซ์ได้
 - ไม่ต้องเป็นเจ้าบ้าน - บ้านเช่าก็จัดได้

สำหรับสินเชื่อรถยนต์ให้วงเงินสูงสุดถึง 100% ของมูลค่ารถ
 
คุณสมบัติของผู้สมัคร
 
  - สมัครง่าย ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์หรือผู้ค้ำประกัน 
  - ผ่อนนาน 12-72 เดือน 
  - อายุ 20- 60 ปี 
  - สัญชาติไทย 

เอกสาร 
1. สำเนาบัตรประชาชน 
2. สำเนาทะเบียนบ้าน 
3. สำเนาบัญชีย้อนหลัง 3-6 เดือน 
4. สลิบเงินเดือน(เดือนล่าสุด)หรือ หนังสือรับรองเงินเดือนก็ได้ 
5. สำเนาทะเบียนรถ 
6. แผนที่บ้าน และ ที่ทำงาน

เอกสารครบ รู้ผลเลย รับเงิน ภายใน 3 วันทำการ 

สนใจสมัคร คลิกที่นี่ 

http://www.d-credit.com 

LINE ID : d-credit
 
d-credit


เข้าร่วม: 07 พฤษภาคม 2014
ตอบ: 271

มีใบอนุญาตขับขี่
มีใบอนุญาตขับขี่

ได้รับคำขอบคุณ: 0
ให้คำขอบคุณ: 0
ศุกร์, 6 ตุลา 2017 17:16 - สินเชื่อรถยนต์ รถแลกเงิน รถผ่อนอยู้ก็กู้ได้ ไม่เช็คแบล็คลิส ติดแบล็คลิสก็จัดได้
ทำอย่างไรดี? หากเกิดสนิมขึ้นที่หม้อน้ำ!!!
หม้อน้ำรถยนต์ ถือเป็นตัวหลักในเรื่องของการช่วยระบายความร้อนสำหรับเครื่องยนต์ หากหม้อน้ำเกิดมีปัญหาขึ้นมา มันอาจส่งผลเสียมากกว่าที่คิด
สำหรับสาเหตุที่ทำให้หม้อน้ำมีปัญหาก็มีอยู่หลายปัจจัย และหนึ่งในนั้นก็คือ สนิมในหม้อน้ำ ซึ่งหากเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นจริงๆ มันจะส่งผลทำให้น้ำไม่หมุนเวียน เกิดการอุดตันภายในรังผึ้ง ระบายความร้อนไม่ได้ จนทำให้เครื่องโอเวอร์ฮีทในที่สุด
แต่ถ้าตรวจสอบดูแล้ว พบว่ามีสนิมอยู่ในหม้อน้ำ ให้จัดการแก้ไขด้วยการล้างหม้อน้ำใหม่ทั้งระบบ ดังนี้
1. หลังจากเครื่องยนต์เย็นสนิท ให้จัดการปล่อยน้ำเก่าออกให้หมด ซึ่งจุดปล่อยน้ำจะอยู่ใต้หม้อน้ำใต้ท้องรถ และหลังจากปล่อยน้ำหมดแล้ว ให้ปิดกลับเข้าที่เดิม
2. เปิดฝาหม้อน้ำแล้วใส่น้ำยาล้างหม้อน้ำที่ผสมน้ำสะอาดลงไป จนถึงระดับปกติ จากนั้นจึงปิดฝาหม้อน้ำ และสตาร์ทเครื่องยนต์ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที แล้วจึงดับเครื่องยนต์
3. รอจนเครื่องยนต์เย็นตัวลง จึงไปปล่อยน้ำออกอีกครั้ง เสร็จแล้วหมุนปิดเข้าที่เดิม แล้วเติมน้ำสะอาดเข้าไป และสตาร์ทเครื่องยนต์อีกที ซึ่งขั้นตอนนี้ให้ทำการถ่ายน้ำไปซัก 2-3 รอบ หรือจะมากกว่านี้ก็ได้ ถ่ายน้ำออกจนกว่าน้ำจะใส และไม่มีสนิมปนออกมากับน้ำ
4. เติมน้ำยาหม้อน้ำ หรือ Coolant ที่ผสมกับน้ำเปล่า หรือน้ำกลั่น(ทำให้เกิดตะกรันได้ยาก) ลงไปในหม้อพัก และหม้อน้ำให้เต็ม


5. สตาร์ทเครื่องยนต์อีกครั้ง จัดการเปิดแอร์เบอร์แรงสุด และเหยียบคันเร่งเบาๆ เพื่อเร่งเครื่อง โดยให้รอบอยู่ที่ประมาณ 2,000 รอบต่อนาที รอสักครู่เพื่อให้เกจ์ความร้อนขึ้นมาอยู่ในระดับปกติ แล้วจึงปล่อยให้เครื่องยนต์เดินเบาไปเอง
6. กลับไปดูที่หม้อน้ำ หากน้ำลดลงให้จัดการเติมน้ำเพิ่มเข้าไป โดยให้เติมเข้าไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเต็ม และคอยสังเกตดูด้วยว่า ปากหม้อน้ำมีฟองอากาศออกมาหรือไม่ ถ้าไม่มีฟองอากาศออกมาแล้ว ก็ถือว่าเป็นอันเสร็จสิ้น
สุดท้ายนี้ หากคุณทำเองไม่เป็นหรือไม่กล้าทำ ให้นำรถไปเข้าอู่ หรือศูนย์บริการ เพื่อให้ช่างผู้ชำนาญการทำให้ก็ได้ ซึ่งมันอาจจะเสียค่าใช้จ่ายมากขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ช่วยประหยัดเวลา ประหยัดแรงไปได้พอสมควรเลยทีเดียว และที่สำคัญ อย่าลืมตรวจเช็กหม้อน้ำเด็ดขาด อย่าปล่อยให้น้ำแห้ง อย่างน้อยตรวจดูอาทิตย์ละครั้งก็ยังดี เพื่อรถสุดรักจะได้อยู่คู่กับคุณไปนานๆ
d-credit


เข้าร่วม: 07 พฤษภาคม 2014
ตอบ: 271

มีใบอนุญาตขับขี่
มีใบอนุญาตขับขี่

ได้รับคำขอบคุณ: 0
ให้คำขอบคุณ: 0
อาทิตย์, 15 ตุลา 2017 20:08 - สินเชื่อรถยนต์ รถแลกเงิน รถผ่อนอยู้ก็กู้ได้ ไม่เช็คแบล็คลิส ติดแบล็คลิสก็จัดได้
4 สิ่งที่ต้องจำให้ขึ้นใจเมื่อขับรถผ่านน้ำท่วม
ช่วงนี้หลายคนทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด คงต้องเผชิญสภาวะปัญหาน้ำท่วมขังบนท้องถนน ทำให้ขับรถสัญจรไปมาได้อย่างลำบาก แถมยังเสี่ยงทำให้เกิดความเสียหายต่อรถยนต์ที่เรารักได้ด้วย
การขับรถลุยน้ำท่วมนั้น ใช่ว่าจะขับเหมือนกับช่วงที่น้ำแห้งปกติได้ เพราะการขับผ่านน้ำท่วมขัง อาจส่งผลเริ่มตั้งแต่ป้ายทะเบียนหลุดหาย ไปจนถึงเกิดความเสียหายกับชิ้นส่วนภายนอกตัวรถและห้องเครื่อง และรุนแรงที่สุดอาจทำให้เครื่องยนต์พังได้ในพริบตาเดียว
ดังนั้น จึงขอแนะนำ 4 สิ่งที่ต้องจำให้ขึ้นใจเมื่อขับรถผ่านน้ำท่วม มีอะไรบ้าง?
1.เลือกช่องทางเดินรถที่มีน้ำท่วมขังต่ำที่สุด
หากสามารถหลีกเลี่ยงเส้นทางที่มีน้ำท่วมขังได้ ก็แนะนำให้เลี่ยงไปเส้นทางอื่นจะดีกว่า แต่หากหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ให้เลือกช่องจราจรที่มีน้ำท่วมขังในระดับต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อเป็นการลดโอกาสที่จะทำให้เกิดความเสียหายกับตัวรถและเครื่องยนต์ หากรถหยุดนิ่งเนื่องจากสภาพจราจรติดขัด ให้ทำใจเย็นๆเข้าไว้ ไม่ต้องเปลี่ยนไปยังเลนที่มีน้ำท่วมขังสูงกว่า ตราบใดที่เครื่องยนต์ยังคงทำงานอยู่ น้ำจะไม่มีโอกาสเข้าทางท่อไอเสียเครื่องยนต์อย่างแน่นอน
2.ใช้ความเร็วต่ำที่สุดขณะลุยน้ำ
การขับรถลุยน้ำให้ใช้ความเร็วต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะการใช้ความเร็วสูงเกินไป จะทำให้ปริมาณน้ำจำนวนมากไหลหลั่งเข้ามาในห้องเครื่องยนต์อย่างรวดเร็ว จนเป็นเหตุให้ท่วมถึงระดับหม้อกรองอากาศ และถูกดูดเข้าไปยังห้องเผาไหม้ จนเป็นสาเหตุให้เครื่องยนต์น็อคเนื่องจากก้านสูบคดหรือหักได้
3.ห้ามเร่งเครื่องยนต์
หลายคนเข้าใจผิดว่าการขับรถลุยน้ำท่วมต้องเร่งเครื่องยนต์ให้รอบขึ้นสูงเพื่อป้องกันรถดับ แต่ความคิดนี้ผิดมหันต์! เพราะการเร่งเครื่องยนต์ขึ้นสูงนอกจากจะไม่มีประโยชน์ใดๆแล้ว ยังทำให้เครื่องยนต์มีแรงดูดอากาศเข้าไปยังห้องเผาไหม้มากขึ้น เพิ่มความเสี่ยงที่น้ำจะถูกดูดเข้าไปในเครื่องยนต์มากขึ้นด้วย
4.ปิดแอร์ทันทีเมื่อระดับน้ำขึ้นสูง
ขณะขับรถลุยน้ำ หากพบว่าระดับน้ำเริ่มขึ้นสูง ให้รีบปิดแอร์ในทันทีเพื่อตัดการทำงานของพัดลมแอร์ เนื่องจากใบพัดอาจหมุนกระแทกเข้ากับน้ำด้วยความรุนแรงจนเป็นสาเหตุให้แตกหรือหักได้ ให้สังเกตว่าหากระดับน้ำเริ่มแตะใต้ท้องรถเมื่อไหร่ ให้รีบปิดแอร์ในทันที แต่หากเริ่มปิดตั้งแต่เริ่มลุยน้ำได้ก็จะดีมาก
เหล่านี้เป็นเทคนิคง่ายๆ ในการลดความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดความเสียหายต่อตัวรถและเครื่องยนต์ หากคราวหน้าคุณจำเป็นต้องขับรถลุยน้ำ ก็อย่าลืมนำสิ่งเหล่านี้ไปใช้ด้วยนะครับ
d-credit


เข้าร่วม: 07 พฤษภาคม 2014
ตอบ: 271

มีใบอนุญาตขับขี่
มีใบอนุญาตขับขี่

ได้รับคำขอบคุณ: 0
ให้คำขอบคุณ: 0
เสาร์, 4 พฤศจิกา 2017 11:11 - สินเชื่อรถยนต์ รถแลกเงิน รถผ่อนอยู้ก็กู้ได้ ไม่เช็คแบล็คลิส ติดแบล็คลิสก็จัดได้
วิธีแก้ไขเบื้องต้นสำหรับ รถจมน้ำ!
ช่วงหน้าฝนนี้ นอกจากจะต้องคอยดูแลรถยนต์ให้ดี ต้องล้างรถบ่อยๆ แล้ว บางครั้งหากน้ำมาเยอะ ก็อาจเจอน้ำท่วมขังในบางจุด แต่ถ้าซวยสุดๆ น้ำทะลักเข้าพื้นที่ที่คุณอยู่จนมันท่วมหนัก รถของคุณไม่สามารถขยับหนีได้ ก็ต้องทำใจปล่อยให้ รถจมน้ำไปตามยถากรรม
ซึ่งทุกๆ จังหวัดไม่เว้นแม้แต่กรุงเทพฯ ต่างมีโอกาสเสี่ยงสูงที่จะถูกน้ำท่วมรถ แต่ก็อย่าได้กังวลไป เพราะเรามีวิธีแก้ไขเบื้องต้น ที่จะช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ ดังนี้
1. ล้างอัดฉีดรถให้สะอาด เพื่อไล่เศษสิ่งสกปรก เศษหินดินทราย ให้หลุดออกไปให้หมด ไม่เว้นแม้แต่ซอกเล็กซอกน้อยตามจุดต่างๆ ทั้งใต้ซุ้มล้อ ใต้ท้องรถ ฯลฯ
2. หากน้ำท่วมสูงจนถึงกระจกหน้าต่าง หรือฝากระโปรงรถ อย่าบิดกุญแจให้ระบบไฟทำงานเป็นอันขาด เพื่อป้องกันระบบไฟเสียหาย ทางที่ดีคุณควรถอดอุปกรณ์ไฟฟ้าทั้งหมดออกมา เช่น กล่อง ECU กล่องรีเลย์ หัวเทียน ฯลฯ แล้วนำไปตากแดดให้แห้ง และสำหรับรถเบนซินให้นำลมไปเป่าไล่น้ำที่เบ้าหัวเทียนออกให้หมด (เพื่อความปลอดภัย ควรถอดขั้วแบตเตอรี่ออกก่อนที่น้ำจะท่วมสูง)
3. นำรถไปจอดตากแดด พร้อมกับเปิดประตูทั้งหมดทิ้งไว้ เพื่อไล่กลิ่นเหม็นอับต่างๆ ออกไปให้หมด นอกจากนี้คุณควรถอดโคมไฟหน้า และไฟท้ายออกมาตากแดดด้วย เพื่อไล่ความชื้นที่มีอยู่ออกไปให้หมดเช่นกัน
4. ตรวจเช็กของเหลวในระบบเครื่องยนต์ต่างๆ เช่น น้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ น้ำมันเบรก ฯลฯ ว่ามีสีเปลี่ยนไป มีสีผิดปกติไปจากเดิม หรือมีน้ำเข้าไปเจือปนหรือไม่ หากมีเป็นสีคล้ายสีของชาเย็น ให้ทำการเปลี่ยนถ่ายใหม่ทันที
5. เปลี่ยนกรองอากาศใหม่ทันที ไม่ว่าจะเป็นกรองเดิม กรองแต่ง กรองซิ่งต่างๆ เพราะมันอาจเกิดสนิมขึ้นด้านในที่คุณมองไม่เห็น ซึ่งหากฝืนใช้ไป สนิมอาจเล็ดลอดเข้าไปภายในห้องเครื่อง จนทำให้เกิดปัญหาใหญ่ได้
6. ประกอบอุปกรณ์ทุกอย่างที่ถอดออกมาตากแดดจนแห้งแล้วกลับเข้าที่เดิม จากนั้นนำรถเข้าไปตรวจเช็กอย่างละเอียดที่อู่ หรือศูนย์บริการอีกครั้ง เพื่อความชัวร์ และความปลอดภัย
แม้คุณจะไม่สามารถบังคับฟ้า บังคับฝนได้ แต่คุณสามารถเตรียมความพร้อม เตรียมรับมือกับปัญหาเหล่านี้ได้ หรือต่อให้ถึงที่สุดจริงๆ ไม่สามารถนำรถขึ้นที่สูงหนีน้ำได้ คุณก็ยังมีวิธีแก้ไขผ่อนจากหนักให้เป็นเบา แต่ถ้าจะให้ดีสุดๆ เพียงแค่คุณมีประกันที่รับเคลมน้ำท่วมรถ ก็ไม่ต้องกังวลอะไรมากมาย สามารถเรียกประกันมาเคลมได้เลยครับ
d-credit


เข้าร่วม: 07 พฤษภาคม 2014
ตอบ: 271

มีใบอนุญาตขับขี่
มีใบอนุญาตขับขี่

ได้รับคำขอบคุณ: 0
ให้คำขอบคุณ: 0
พฤหัส, 16 พฤศจิกา 2017 13:00 - สินเชื่อรถยนต์ รถแลกเงิน รถผ่อนอยู้ก็กู้ได้ ไม่เช็คแบล็คลิส ติดแบล็คลิสก็จัดได้
8 สัญลักษณ์บนหน้าปัดรถที่คุณอาจไม่รู้ความหมาย

ผู้ขับขี่ทุกคนควรรู้จักและเข้าใจความหมายของสัญญาณเตือนบนหน้าปัดรถ เพราะเป็นสิ่งบ่งบอกถึงความผิดปกติของตัวรถ เพื่อที่จะรับมือแก้ไขปัญหาก่อนลุกลามบานปลายได้ แต่เชื่อว่ายังมีอีกหลายคนที่ไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของสัญลักษณ์บนหน้าปัดว่าหมายถึงอะไรกันแน่

จึงขอแนะนำ 8 สัญลักษณ์พื้นฐานบนหน้าปัดรถ จะได้รู้ความหมายที่แท้จริงกัน

1.ไฟเตือนระบบเบรก

หากสัญญาณไฟเตือนระบบเบรกสว่างขึ้น แสดงว่าเบรกมือกำลังทำงานอยู่ แต่หากปลดเบรกมือลงแล้วสัญญาณไม่ดับหรือกระพริบต่อเนื่อง เป็นไปได้ว่าน้ำมันเบรกพร่องเกินระดับปกติ รวมถึงอาจเกิดความผิดปกติเกี่ยวกับระบบป้องกันล้อล็อค (ABS - Anti-lock Brake System) ในกรณีที่ใช้สัญญาณเตือนร่วมกัน

2.ไฟเตือนรูปแบตเตอรี่

หลายคนเข้าใจว่าหากสัญญาณเตือนรูปแบตเตอรี่สว่างขึ้น แสดงว่าแบตเตอรี่ใกล้หมด แต่แท้จริงแล้วสัญญาณดังกล่าวบ่งบอกว่าไดชาร์จไม่ทำงาน ซึ่งจะทำให้ระดับไฟในแบตเตอรี่ลดลงอย่างช้าๆ จนเครื่องยนต์ดับลงในที่สุด ทางที่ดีหากสัญญาณเตือนรูปแบตเตอรี่สว่างขึ้น ควรรีบนำรถไปยังศูนย์บริการหรืออู่ซ่อมรถใกล้เคียงโดยเร็วที่สุด เพื่อป้องกันรถตายกลางทาง

3.ไฟหัวเผาเครื่องยนต์ดีเซล

รถเครื่องยนต์ดีเซลจะมีสัญลักษณ์รูปขดลวด ซึ่งจะสว่างขึ้นเมื่อบิดกุญแจไปยังตำแหน่ง 'ON' ก่อนที่จะสตาร์ทเครื่องยนต์ หากเป็นเครื่องยนต์ดีเซลรุ่นเก่าที่มีปัญหาสตาร์ทติดยาก สามารถบิดกุญแจไปตำแหน่ง 'ON' เพื่อให้ระบบเผาหัวทำงานประมาณ 1-2 ครั้ง จะช่วยให้เครื่องยนต์สตาร์ทติดได้ง่ายขึ้น

4.ไฟเตือนระบบควบคุมการทรงตัว

รถยนต์ทุกคันที่ติดตั้งระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว จะตั้งค่าเริ่มต้นให้ระบบทำงานทุกครั้งที่สตาร์ทเครื่องยนต์ หากปิดระบบดังกล่าว สัญญาณเตือนรูปรถส่ายไปมาจะสว่างขึ้น เพื่อแจ้งให้ทราบว่าระบบปิดการทำงานอยู่ ซึ่งระหว่างนี้หากรถมีอาการเสียหลัก ระบบจะไม่ช่วยควบคุมการทรงตัวของรถแต่อย่างใด

นอกจากนั้น สัญญาณเตือนดังกล่าวอาจกระพริบในขณะขับรถบนทางเปียก แสดงว่าระบบกำลังช่วยควบคุมเสถียรภาพการขับขี่อยู่ ซึ่งผู้ขับเองอาจไม่รู้สึกว่าระบบกำลังทำงานก็เป็นได้

5.ไฟเตือนแรงดันน้ำมันเครื่อง

หากไฟเตือนแรงดันน้ำมันเครื่องสว่างขึ้น แสดงว่าปริมาณน้ำมันเครื่องในห้องเครื่องยนต์อยู่ในระดับต่ำเกินไป ควรจอดรถเช็คระดับน้ำมันเครื่องให้เร็วที่สุด หากน้ำมันเครื่องพร่องจริง ก็ควรเติมทันทีอย่างน้อย 1 ลิตร หรือจนกว่าสัญญาณจะดับลง แต่หากน้ำมันเครื่องยนต์อยู่ในระดับปกติอยู่แล้ว อาจเกิดความผิดปกติเกี่ยวกับปั๊มน้ำมันเครื่องหรือมีการอุดตันของน้ำมันในระบบได้

6.ไฟเตือนระบบถุงลมนิรภัย

ปกติไฟเตือนระบบถุงลมนิรภัยจะสว่างขึ้นเมื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ และจะดับไปหลังจากเครื่องยนต์ติดไม่นาน แต่หากสัญญาณไฟยังสว่างอยู่ แสดงว่ามีความผิดปกติเกี่ยวกับถุงลมนิรภัย หากเกิดอุบัติเหตุจะทำให้ถุงลมไม่พองตัว จึงควรนำรถเข้าเช็คเมื่อมีโอกาส

7.ไฟเตือนระบบพวงมาลัยไฟฟ้า

รถยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่ติดตั้งระบบพวงมาลัยไฟฟ้า จะมีสัญญาณเตือนรูปพวงมาลัย หรือ PS หรือ EPS ซึ่งจะสว่างขึ้นเมื่อเกิดความผิดปกติของระบบ โดยมากมักจะสว่างขึ้นควบคู่ไปกับอาการพวงมาลัยหนัก แสดงว่ามีความผิดปกติเกี่ยวกับระบบไฟหรือมอเตอร์พวงมาลัย ควรประคองรถเข้าศูนย์หรือใช้บริการรถยกเพื่อแก้ไขปัญหา

8.ไฟเตือนความร้อนสูง

ในรถรุ่นใหม่ที่ไม่มีเข็มวัดอุณหภูมิน้ำหล่อเย็นมาให้นั้น จะมาพร้อมสัญลักษณ์รูปเทอร์โมมิเตอร์สีแดง ซึ่งจะสว่างขึ้นเมื่อเครื่องยนต์เกิดอาการโอเวอร์ฮีท ความร้อนขึ้นสูง หากสัญญาณไฟดังกล่าวสว่างขึ้น ให้รีบจอดรถเข้าข้างทางทันที่ก่อนเครื่องยนต์น็อค ดับเครื่องยนต์ รอจนกว่าเครื่องยนต์จะเย็นลงแล้วจึงเช็คระดับน้ำหม้อน้ำ หากน้ำแห้ง ให้เติมจนถึงระดับแล้วจึงขับขี่ต่อ แต่หากรถยังคงมีอาการโอเวอร์ฮีทอีก แสดงว่าเกิดการรั่วในระบบน้ำหล่อเย็น

นอกจากนั้น ผู้ขับขี่ไม่ควรวางสิ่งของใดๆ บนแผงหน้าปัด เพราะอาจบดบังสัญญาณเตือนเหล่านี้ จนทำให้เกิดความเสียหายตามมาได้
d-credit


เข้าร่วม: 07 พฤษภาคม 2014
ตอบ: 271

มีใบอนุญาตขับขี่
มีใบอนุญาตขับขี่

ได้รับคำขอบคุณ: 0
ให้คำขอบคุณ: 0
เสาร์, 2 ธันวา 2017 11:13 - สินเชื่อรถยนต์ รถแลกเงิน รถผ่อนอยู้ก็กู้ได้ ไม่เช็คแบล็คลิส ติดแบล็คลิสก็จัดได้
สาเหตุที่ทำให้รถ เบรกแตก!!!
หากพูดถึงอุบัติเหตุอันตรายจากการขับรถ เชื่อว่าหลายๆ คนคงนึกถึงเรื่อง เบรกแตก เป็นอันดับต้นๆ เพราะหากเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นจริงๆ ความเสี่ยงเกี่ยวกับความปลอดภัยของชีวิต และทรัพย์สิน มีโอกาสสูงมากทีเดียว แม้ว่าอาการนี้จะเกิดขึ้นค่อนข้างยากก็ตาม
สำหรับอาการเบรกแตก จริงๆ แล้วเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย หลายสาเหตุ ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากการขาดการดูแลรักษา และตรวจเช็กสภาพการใช้งานนั่นเอง
เอาเป็นว่า มาดูสาเหตุหลักอื่นๆ กันดีกว่า ว่ามีอะไรอีกบ้าง ที่ทำให้รถของคุณเบรกแตก
1. น้ำมันเบรกเสื่อมสภาพ จนทำให้ลูกยางในกระบอกปั๊มล้อที่ทำหน้าที่ป้องกันน้ำมันรั่ว เสื่อมสภาพตามไปด้วย จึงทำให้น้ำมันเบรกรั่วออกมา ซึ่งหากคุณอยากตรวจสอบลูกยางตัวนี้ ก็สามารถทำได้ง่าย แค่เพียงถอดล้อออก จากนั้นถอดจานเบรกแล้วเปิดยางกันฝุ่นที่ครอบตัวกระบอกปั๊มออกมา และสังเกตดู หากมีน้ำมันเบรกรั่วออกมา ก็แปลว่าลูกยางเสื่อมแล้ว จัดการเปลี่ยนได้เลย
2. สายอ่อน หรือท่อทางเดินน้ำมันเบรกรั่ว อาการนี้ดูได้ง่ายๆ หากมีคราบ หรือรอยซึมของน้ำมันเบรกไหลออกมา
3. แรงดันของน้ำมันเบรกมาไม่เต็มระบบ อาการนี้เกิดขึ้นเพราะมีอากาศอยู่ในระบบน้ำมันเบรก ซึ่งอาจเป็นเพราะการไล่อากาศ หรือไล่ลมออกไปไม่หมดจากระบบ เมื่อตอนเปลี่ยนน้ำมันเบรกใหม่ ฯลฯ จึงทำให้ไม่สามารถส่งแรงดันไปได้อย่างเต็มที่
4. น้ำมันเบรกหมด หรือเหลือน้อย มันจะส่งผลทำให้เบรกใช้งานได้ไม่เต็มที่ เบรกไม่ค่อยอยู่ หรือเบรกจมลึกผิดปกติ ฯลฯ ให้ตรวจเช็ก และเติมน้ำมันเบรกให้ถึงระดับที่กำหนด

5. น้ำมันเบรกชื้น ขณะที่กดเบรกลงไป เบรกจะมีความร้อน และการเสียดสีเกิดขึ้น ดังนั้นเมื่อน้ำมันเบรกมีความชื้นผสมอยู่ มันก็จะระเหยกลายเป็นไอ ลูกสูบไม่สามารถทำงานได้ จึงทำให้เบรกไม่อยู่นั่นเอง
6. สายเบรกขาด แม้เปอร์เซ็นต์ในการเกิดขึ้นจะน้อย แต่ใช่ว่าจะไม่มีเลย ซึ่งวิธีสังเกตให้ตรวจดูใต้ท้องรถว่ามีน้ำมันรั่วหรือไม่ และก่อนออกรถให้ทดสอบเหยียบเบรกดูก่อน ว่าเบรกอยู่รึเปล่า
7. ผ้าเบรก หากผ้าเบรกหมด ผ้าเบรกไหม้ ฯลฯ ก็มีโอกาสเสี่ยงสูงที่รถของคุณจะเบรกแตกได้เช่นกัน
อาการเบรกแตกไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เพราะมันอาจทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิต และทรัพย์สินของคุณได้ ทางที่ดีคุณจึงควรหมั่นตรวจเช็กระบบเบรก และน้ำมันเบรกเป็นประจำ นอกจากนี้ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรกเมื่อถึงระยะที่กำหนดทุกครั้ง รวมไปถึงผ้าเบรกด้วย เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้
d-credit


เข้าร่วม: 07 พฤษภาคม 2014
ตอบ: 271

มีใบอนุญาตขับขี่
มีใบอนุญาตขับขี่

ได้รับคำขอบคุณ: 0
ให้คำขอบคุณ: 0
พฤหัส, 7 ธันวา 2017 11:19 - สินเชื่อรถยนต์ รถแลกเงิน รถผ่อนอยู้ก็กู้ได้ ไม่เช็คแบล็คลิส ติดแบล็คลิสก็จัดได้
หัวเทียน Iridium ดีกว่าของธรรมดายังไง?
หัวเทียนรถยนต์ หากขาดมันไป รถยนต์ของคุณก็จะไม่สามารถทำงาน หรือเคลื่อนที่ไปไหนได้ เพราะมันคือตัวเริ่มต้นในการสร้างประกายไฟสำหรับจุดระเบิดในห้องเผาไหม้ เพื่อให้เครื่องยนต์ทำงานนั่นเอง
จริงๆ แล้วหัวเทียนมีให้เลือกใช้อยู่หลายรุ่น ทั้งหัวเทียนร้อน - หัวเทียนเย็น และยังมีหัวเทียนแบบ หลายเขี้ยว ฯลฯ แต่ในครั้งนี้เราจะขอพูดถึง หัวเทียน Iridium (อิริเดียม) ที่มีความพิเศษมากกว่าแบบธรรมดา ซึ่งหัวเทียน Iridium จะมีคุณสมบัติเด่นกว่าแบบธรรมดายังไง มาดูได้ตามนี้เลย
1. มีกำลังไฟในการจุดระเบิดที่รุนแรงมากยิ่งขึ้น
2. ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจุดระเบิด
3. ประหยัดน้ำมันมากขึ้น เพราะเครื่องยนต์ทำงานได้สมบูรณ์ เผาไหม้หมดจด
4. โอกาสในการเกิดอาการหัวเทียนบอดจะน้อยมากกว่าแบบธรรมดา
5. อัตราเร่งดีขึ้นแบบรู้สึกได้
6. อายุการใช้งานยาวนานกว่าหัวเทียนธรรมดา
ข้อเสียของหัวเทียน Iridium มีอย่างเดียวเลยคือ ราคาที่แพงกว่าหัวเทียนธรรมดา แต่หากเทียบกับประสิทธิภาพที่ได้เพิ่มขึ้นมา นับว่าคุ้มค่ามากทีเดียว แถมมันยังทนทาน มีอายุการใช้งานนานขึ้นอีกด้วย
แต่หากคุณคิดว่าหัวเทียนเดิมๆ โอเคแล้ว ไม่มีความต่าง ก็ไม่มีปัญหา สามารถใช้งานได้เหมือนกัน แต่ถ้าอยากเพิ่มประสิทธิภาพมากขึ้น ก็ลองเลือก หัวเทียน Iridium มาใช้งานได้เช่นกัน และที่สำคัญที่สุด อย่าลืมตรวจเช็กสภาพรถให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอด้วยนะครับ
d-credit


เข้าร่วม: 07 พฤษภาคม 2014
ตอบ: 271

มีใบอนุญาตขับขี่
มีใบอนุญาตขับขี่

ได้รับคำขอบคุณ: 0
ให้คำขอบคุณ: 0
เสาร์, 16 ธันวา 2017 19:51 - สินเชื่อรถยนต์ รถแลกเงิน รถผ่อนอยู้ก็กู้ได้ ไม่เช็คแบล็คลิส ติดแบล็คลิสก็จัดได้
"ลมยางอ่อน" เสี่ยงอันตรายกว่าที่คิด

ยางรถยนต์เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้รถขับเคลื่อนได้อย่างปลอดภัย ซึ่งการละเลยตรวจสอบลมยางจนเป็นเหตุให้ลมยางอ่อน อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงอันตรายมากกว่าที่คิด

     คนใช้รถจำนวนไม่น้อยมักละเลยการตรวจสอบแรงดันลมยางให้เหมาะสมอยู่เสมอ เนื่องจากคิดไม่ถึงว่าลมยางที่น้อยจนเกินไป อาจสร้างความเสียหายได้มากมายมหาศาล โดยเฉพาะการขับขี่ด้วยความเร็วสูง เนื่องจากลมยางที่อ่อนเกินไป จะทำให้ยางเกิดการยุบตัวได้ง่าย (นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมลมยางอ่อนจึงทำให้รถนุ่มขึ้น) จนเป็นสาเหตุให้แก้มยางบิดตัวมากกว่าปกติ จนเป็นสาเหตุให้ยางระเบิดขณะขับขี่ได้

ขณะเดียวกัน ลมยางอ่อนจะทำให้ดอกยางด้านข้างหมดเร็วกว่าปกติ เนื่องจากแก้มยางจะบานออก ทำให้ยางสึกไม่เท่ากันทั้งเส้น ตรงข้ามกับยางที่มีลมยางมากจนเกินไป ก็จะทำให้ดอกยางส่วนกลางหมดเร็วกว่าด้านข้าง เนื่องจากยางพองตัวจนหน้ายางไม่สามารถสัมผัสพื้นถนนเท่ากันทั้งเส้น

ไม่เพียงเท่านั้น ลมยางที่อ่อนจนเกินไปจะส่งผลให้รถเปลืองน้ำมันขึ้นด้วย เนื่องจากเกิดแรงเสียดทานมากกว่าปกติ จึงเพิ่มภาระเครื่องยนต์ให้ทำงานมากกว่าปกติจนเป็นสาเหตุให้กินน้ำมันมากขึ้นถึง 10 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว

  ทางที่ดีควรตรวจสอบลมยางทุกครั้งก่อนออกเดินทางไกล หากมีผู้โดยสารไปด้วยเต็มคันก็ควรเพิ่มแรงดันลมยางขึ้นไปอีก เพื่อรองรับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น ซึ่งปกติจะต้องบวกเพิ่มประมาณ 8-10 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว (PSI) ในกรณีมีผู้โดยสาร 5 คน พร้อมสัมภาระเต็มคัน

     รู้แบบนี้แล้วควรเช็คลมยางเพื่อความปลอดภัยของตัวเองกันครับ
d-credit


เข้าร่วม: 07 พฤษภาคม 2014
ตอบ: 271

มีใบอนุญาตขับขี่
มีใบอนุญาตขับขี่

ได้รับคำขอบคุณ: 0
ให้คำขอบคุณ: 0
อาทิตย์, 7 มกรา 2018 20:13 - สินเชื่อรถยนต์ รถแลกเงิน รถผ่อนอยู้ก็กู้ได้ ไม่เช็คแบล็คลิส ติดแบล็คลิสก็จัดได้
ซ่อมหรือเปลี่ยน? หากยางรถยนต์ชำรุด

ยางรถยนต์ นับเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ ในเรื่องของความปลอดภัย และยังถือเป็นอะไหล่สิ้นเปลืองที่ต้องเปลี่ยนบ่อยๆ เช่นกัน ดังนั้นคุณจึงควรตรวจสอบ และดูแลมันให้ดีอยู่เสมอ ซึ่งบางครั้งบางคราว ยางรถยนต์ของคุณ ก็อาจประสบเหตุไม่คาดคิด ทำให้เกิดความเสียหายขึ้น และบางเหตุการณ์อาจเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่บางเหตุการณ์อาจเป็นเรื่องใหญ่

ดังนั้นเราจึงขอแยกแยะให้เข้าใจว่า แบบไหนควรซ่อม หรือแบบไหนควรเปลี่ยน เพื่อเป็นตัวเลือกให้คุณตัดสินใจ

ยางรถยนต์ชำรุดที่สามารถซ่อมได้ หากยางรถโดนตะปูตำ หรือโดนสิ่งของมีคมต่างๆ ทิ่มแทงจนเป็นรู เป็นรอยเจาะโดยไม่มีการฉีกขาดใดๆ เกิดขึ้น คุณสามารถนำยางไปปะตามร้านยางทั่วไปได้เลย ใช้เวลาไม่นาน แถมยังราคาถูก ร้อยกว่าบาทเท่านั้น แต่การปะที่ว่านี้ มีให้เลือกใช้งานอยู่ 2 แบบ ดังนี้

1. ปะแบบแทงใยไหม-อัดรูหนอน การปะประเภทนี้ไม่จำเป็นต้องถอดยางออกมาจากล้อ และควรใช้ในกรณีที่มีบาดแผลเล็กๆ น้อยๆ รูไม่ใหญ่มาก ซึ่งวิธีการทำก็คือ การนำใยไหมมาอุดเข้าไปตรงรูที่มีการรั่วซึม จากนั้นจึงทดสอบรอยรั่วให้แน่ใจอีกครั้ง

2. ปะแบบสตรีมร้อน สมควรใช้ในกรณีที่มีบาดแผลค่อนข้างใหญ่ จนไม่สามารถแทงใยไหม-อัดรูหนอนได้ และวิธีนี้จำเป็นต้องถอดยางออกมาจากล้อ เพราะต้องใช้แผ่นปะมาอุดรอยรั่ว แล้วจึงใช้ความร้อนทำให้แผ่นปะละลายไปติดกับเนื้อยางเดิม เพื่ออุดบริเวณที่รั่ว หลังจากนั้นจึงทำการทดสอบรอยรั่วอีกครั้ง ก่อนประกอบกลับเข้าที่

ยางรถยนต์ชำรุดที่ควรเปลี่ยนไม่ว่าจะเป็นส่วนไหนก็ตาม ทั้งหน้ายาง แก้มยาง ฯลฯ หากเกิดรอยฉีกขาดขึ้น คุณควรที่จะจัดการเปลี่ยนเป็นยางเส้นใหม่ไปเลย มันไม่คุ้มแน่ๆ หากนำไปซ่อม เพราะซ่อมยังไงก็ไม่อยู่แน่นอน แถมยังเสี่ยงอันตรายหากมันเกิดปัญหาขึ้นมา เช่น ยางระเบิด ยางแตก ฯลฯ ซึ่งปัจจุบันนี้ราคายางใหม่ก็ไม่ได้แพงมาก สามารถเลือกเปลี่ยนเฉพาะเส้นที่มีปัญหาก็ได้ แต่ถ้าขัดสนเรื่องงบประมาณ ลองหายางเปอร์เซ็นต์มาใช้ทดแทนไปก่อนก็ได้เช่นกัน

จริงๆ แล้วคุณจะเลือกการปะยางแบบไหนก็ได้ ตามที่คุณสบายใจ เพราะสุดท้ายทั้ง 2 วิธีการปะที่ว่ามานี้ ก็สามารถใช้งานได้ดีไม่แพ้กัน เพียงแต่ถ้าเป็นรอยใหญ่ๆ ใช้ปะแบบสตรีมจะดีกว่า เพราะมันครอบคลุมรอยแผลได้มากกว่า และการเปลี่ยนยางใหม่อย่าคิดว่าใช้เงินเยอะ เพราะหากเกิดอะไรขึ้นมา ชีวิตคุณมีค่ามากกว่าราคายางไม่กี่พันบาทแน่นอน
d-credit


เข้าร่วม: 07 พฤษภาคม 2014
ตอบ: 271

มีใบอนุญาตขับขี่
มีใบอนุญาตขับขี่

ได้รับคำขอบคุณ: 0
ให้คำขอบคุณ: 0
ศุกร์, 19 มกรา 2018 13:34 - สินเชื่อรถยนต์ รถแลกเงิน รถผ่อนอยู้ก็กู้ได้ ไม่เช็คแบล็คลิส ติดแบล็คลิสก็จัดได้
วิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เมื่อน้ำมันกำลังจะหมด!!!

น้ำมันหมด เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ยาก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย ซึ่งบางครั้งอาจเป็นเพราะรถติดหนัก ขยับทีละคืบ หรือเวลาเดินทางไกลๆ ขับไปก็ไม่เจอปั๊มน้ำมันสักที มันก็ชวนให้ใจหวิวๆ ลุ้นหนักอยู่เหมือนกันว่า น้ำมันจะหมดก่อน หรือจะถึงปั๊มก่อนกันแน่

แต่ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นจริงๆ สัญญาณเตือนน้ำมันกำลังจะหมดแสดงขึ้นมา ให้คุณทำตามวิธีเหล่านี้

1. ปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าทุกอย่างในรถ เช่น วิทยุ เครื่องเสียง แอร์ และอื่นๆ ฯลฯ

2. ใช้ความเร็วคงที่อย่างสม่ำเสมอ เพื่อประหยัดน้ำมัน โดยควบคุมให้ความเร็วอยู่ราวๆ 50 - 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สำหรับรถไม่เกิน 1,800 ซีซี และใช้ความเร็วราวๆ 60 - 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สำหรับรถที่มีขนาดเกิน 2,000 ซีซี ขึ้นไป

3. อย่าลดความเร็วลงโดยไม่จำเป็น และอย่าเบรกบ่อยๆ เพราะการทำแบบนี้จะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันอย่างมาก

4. หลบเลี่ยงเส้นทาง หรือถนนที่มีหลุมมีบ่อเยอะๆ ทั้งหลุมเล็ก-หลุมใหญ่ เพราะมันจะทำให้คุณต้องเหยียบเบรก และคันเร่งบ่อยขึ้น

5. อย่าเปิดหน้าต่างทิ้งไว้ (แง้มไว้แค่เล็กน้อย) เพราะมันจะต้านแรงลมที่พุ่งเข้ามาหารถของคุณ แม้วิธีนี้จะช่วยไม่ได้มาก แต่มันก็ถือว่าช่วยได้เหมือนกัน

6. หลีกเลี่ยงเส้นทางที่มีการจราจรหนาแน่น แม้จะเป็นเรื่องที่ยาก เพราะไปทางไหนก็มีแต่รถติด แต่การขับไปเรื่อยๆ กับการขับๆ เบรกๆ มีผลต่ออัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน

แม้เหตุการณ์น้ำมันหมด จะมีเปอร์เซ็นต์เกิดขึ้นได้น้อย แต่ทางที่ดีคุณก็ควรที่จะเตรียมตัวให้พร้อมก่อนออกเดินทางทุกครั้ง ตรวจเช็กปริมาณน้ำมันในถังที่หน้าปัดรถยนต์ก่อนสตาร์ทรถ รวมไปถึงความพร้อม ความสมบูรณ์ของรถยนต์ และเครื่องยนต์ด้วย จะได้เดินทางราบรื่น ไม่มีสะดุด เพราะไม่ใช่เรื่องเล่นๆ หากขับรถไปแล้วเกิดปัญหากลางทาง
d-credit


เข้าร่วม: 07 พฤษภาคม 2014
ตอบ: 271

มีใบอนุญาตขับขี่
มีใบอนุญาตขับขี่

ได้รับคำขอบคุณ: 0
ให้คำขอบคุณ: 0
พุธ, 7 กุมภา 2018 13:09 - สินเชื่อรถยนต์ รถแลกเงิน รถผ่อนอยู้ก็กู้ได้ ไม่เช็คแบล็คลิส ติดแบล็คลิสก็จัดได้
6 วิธีปกป้องรถจากกองทัพแมลงสาบ ปิดความเสี่ยงอุบัติเหตุบนท้องถนน
ผู้เชี่ยวชาญด้านกำจัดสัตว์รบกวน แนะวิธีปกป้องรถจากการรุกรานของแมลงสาบ ไม่ให้พวกมันเข้าไปหลบซ่อนภายในรถแล้ว แสดงตัวออกมาทำให้เจ้าของรถตกใจจนเกิดอุบัติเหตุได้
เว็บไซต์สเตรทส์ไทม์ (Straitstimes) รายงานว่า เมื่อวันที่ 26 ม.ค. 2561 ที่ผ่านมา เกิดอุบัติเหตุรถยนต์มาสด้าสีแดงของหญิงวัย 61 ปี พุ่งขึ้นชนตีนสะพานลอยริมถนน หน้ารถพังเสียหาย เหตุเกิดย่านจูหล่งอีสต์ เซนทรัล ประเทศสิงคโปร์ โชคดีที่คนขับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น อย่างไรก็ตาม รายงานข่าวระบุว่า สาเหตุของอุบัติเหตุครั้งนี้ มาจาก 'แมลงสาบ' ที่อยู่ๆ ไต่มาจากไหนไม่ทราบ ทำให้หญิงคนดังกล่าวตกใจ สูญเสียการควบคุมพวงมาลัยรถ จนขับรถพุ่งขึ้นไปชนกับสะพาน
เหตุการณ์นี้ ทำให้หลายคนคิดหาวิธีป้องกันไม่ให้แมลงสาบเข้ามาพักอาศัยในรถ

ปัญหานี้มีคำตอบ เมื่อผู้เชี่ยวชาญด้านกำจัดสัตว์รบกวนของสิงคโปร์แนะ 6 วิธีง่ายๆ ไว้ปฏิบัติกัน
1. หลีกเลี่ยงการนำอาหารขึ้นไปกินบนรถ ตามที่บริษัทกำจัดสัตว์รบกวน 'เรนโตคิล สิงคโปร์' บอกไว้ว่า แมลงสาบกับอาหารเป็นของคู่กัน การทิ้งเศษอาหาร, ภาชนะใส่อาหารไว้บนรถจำนวนมาก จะสิ่งกลิ่นให้แมลงสาบแวะมาเยี่ยมเยียนในรถได้แล้ว
แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้ ที่ต้องกินอาหารบนรถ โดยเฉพาะรถคันที่มีเด็กนั่งด้วย ก็จำเป็นต้องทำความสะอาดอย่างถี่ถ้วนทุกครั้งหลังจากนั้น และการที่เหล่าแมลงสาบชื่นชอบสิ่งแวดล้อมที่ชื้นๆ ดังนั้นเมื่อทำอาหารหกหรือหล่นในรถขอให้รีบเช็ดทำความสะอาดทันที
2. ทำความสะอาดและจัดระเบียบภายในรถเป็นประจำ เพราะการทำความสะอาดรถเป็นประจำ คือวิธีหนึ่งที่ป้องกันไม่ให้แมลงสาบมาอาศัยอยู่ภายในรถ โดยเฉพาะบริเวณพรม, ช่องว่างระหว่างเบาะที่นั่ง, และช่องวางของข้างประตู
นอกจากเช็ดถูทำความสะอาดแล้ว ยังมีคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านกำจัดสัตว์รบกวนด้วยว่าควรใช้เครื่องดูดฝุ่นร่วมด้วย เพราะแมลงสาบส่วนใหญ่ชอบซ่อนตัวและทำรังภายในซอกต่างๆ ของรถ เช่น ฝากระโปรงหลังรถ จัดเก็บสิ่งของในกล่องพลาสติกที่มีฝาปิดมิดชิด นอกจากนี้แมลงสาบยังสามารถย้ายตัวเองจากสิ่งของหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งอย่างติดมากับถุงจ่ายตลาด เจ้าของรถอาจต้องตรวจดูก่อนว่าไม่มีเจ้าแมลงนี้ติดมาด้วย
3. หลีกเลี่ยงการจอดรถใกล้กับถังขยะ หรือฝาท่อน้ำทิ้ง บรรดาเจ้าของรถควรหลีกเลี่ยงจอดรถของท่านใกล้กับแหล่งกำเนิดหรือเพาะพันธุ์แมลงสาบ เช่น ถังขยะ, หรือท่อน้ำทิ้งและสิ่งปฏิกูล แมลงสาบสามารถเข้าสู่ภายในตัวรถของท่านได้จากท่อเครื่องปรับอากาศ ซึ่งเป็นเส้นทางหลักการเดินทาง ดังนั้นก่อนจอดรถในบริเวณที่กล่าวมาข้างต้น ขอให้เจ้าของรถมั่นใจว่า หน้าต่าง, ประตู, ท่อแอร์ ปิดสนิทเรียบร้อยแล้ว
4. ระมัดระวังการใช้สารเคมีกำจัดแมลง ถึงแม้การใช้สารเคมีกำจัดแมลงจะเป็นวิธีที่รวดเร็ว แต่สิ่งหนึ่งที่เจ้าของรถพึงระวังคือ ระวังอย่าเข้าไปอยู่ภายในรถขณะใช้ เพราะสารเคมีในยากำจัดแมลงสามารถติดไฟได้ อีกทั้งยังเป็นอันตรายกับมนุษย์และสัตว์เลี้ยง หรือจะเลี่ยงการใช้สารเคมี ด้วยการนำกับดักแมลงสาบไปวางไว้ใต้เบาะที่นั่ง ก็สามารถช่วยดักจับได้อีกวิธีหนึ่ง
5. ใบเตย มีช่วงหนึ่งที่คนไทยฮิตวางใบเตย 1 กำไว้ด้านหลังเบาะผู้โดยสาร ที่สิงคโปร์ก็ทำเหมือนกัน แต่พวกเขาเชื่อว่า กลิ่นของใบเตยช่วยไล่แมลงสาบได้ เรื่องนี้ 'ดร. ชาน เฮียง เฮา' นักกีฏวิทยา ของเรนโตคิล บอกว่า ใบเตยไม่ได้ฆ่าแมลงสาบ ช่วยเพียงป้องกันเท่านั้น เหนือสิ่งอื่นใดควรเช็ดใบเตยให้แห้ง เนื่องจากใบเตยสามารถเป็นอาหารของแมลงสาบและแมลงอื่นๆ ได้
6. เห็นแมลงสาบเพียงตัวเดียว อาจมีอีกเป็นฝูงภายในรถ ตามสถิติจากการกำจัดแมลงรบกวนของบริษัท เพสต์บัสเตอร์ ในสิงคโปร์บอกไว้ว่า การพบเห็นแมลงสาบในเวลากลางวัน อาจเป็นปัญหาใหญ่ตามมาได้ เพราะแมลงสาบ 1 ตัวที่เห็น อาจหมายถึงอีกเป็นสิบหรือเป็นฝูงเลยก็ได้ เพราะนิสัยของแมลงสาบนั้นจะออกอาหารในเวลากลางคืน แต่ถ้ามันออกมาเดินเล่นตอนกลางวันภายในรถ นั่นอาจหมายถึงรถของคุณคือรังที่อยู่อาศัยของพวกแมลงสาบก็เป็นได้
อีกทั้งยังพบสถิติว่าตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ชาวสิงคโปร์ 5-10% เรียกใช้บริการบริษัทกำจัดแมลง เนื่องจากพบแมลงสาบเข้าไปอาศัยในรถจำนวนมาก
 
ตอบ
หน้า 8 จาก 9
ไปที่: 
ติดต่อโฆษณา admin@civicesgroup.com
Copyright © 2008-2024 Civic ES Group. All rights reserved.