บทความรีเลย์
Ground Wire (-) VS Relay (+) อะไร สำคัญกว่ากัน
ตอบได้เลยสำคัญเท่ากัน แต่การเสื่อมสภาพ หรือสึกหรอ เกิดได้ที่ตัวรีเลย์ หรือตัวจ่ายไฟฟ้าขั้วบวก มากกว่าครับ ซึ่งแน่นนอน การเสื่อมสภาพทำให้เกิดการไหลของกระแสไฟฟ้าไหลไม่สะดวก หรือไม่ไหลเลย
สาเหตุที่ตัวรีเลย์เสื่อมสภาพ ผมขอกล่าวในช่วงหลังของบทความนี้
ผู้ ใช้รถ ส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับสายกราวน์ (ground wire) หรือสายไฟฟ้าขั้วลบที่ต่อกับตัวถัง ราคามีตั้งแต่ 1200-2000 บาท ทั้งให้ความสวยงาม และหวังผลการไหลของกระเเสไฟฟ้าให้ดีขึ้น
แต่จะมีกี่คนที่สนใจไฟฟ้าขั้วบวกบ้าง แล้ว ไฟฟ้าขั้วบวกอยู่ที่ไหนกันล่ะ ผมขออธิบายดังนี้
หลัก การของไฟฟ้ารถยนต์จะต่อไฟฟ้าลบกับตัวถังรถที่เป็นเหล็กสามารถนำไฟฟ้าได้ทั้ง คัน และถ้าต้องการไฟฟ้าขั้วบวกจ่ายให้กับอุปกรณ์ไหน ก็เพียงเดินสายไฟไปหาและมีตัวควบคุมการจ่ายไฟบวกเท่านั้นเอง
ตัวรีเลย์นี่เองที่เป็นตัวจ่ายไฟฟ้าบวกให้กับอุปกรณ์ไฟฟ้า โดยหลักการคือใช้ไฟฟ้าที่มีกระแสไฟ้าต่ำ (ขอเรียกว่าไฟฟ้าสัญญาณจากกล่องควบคุมหลัก ECU หรือ สวิทย์ไฟฟ้าที่เปิดปิดโดยผู้ใช้รถ) มาสั่งการให้จ่ายไฟฟ้าบวกกระแสสูง (ขอเรียกว่าไฟฟ้ากำลัง)
จ่าย ให้กับอุปกรณ์ไฟฟ้า โดยที่อุปกรณ์ไฟฟ้าแต่ละตัวมีการทำงานที่แยกกันโดยอิสระ และความต้องการของไฟฟ้าในแต่ละอุปกรณ์ไม่เท่ากัน เช่น พัดลมระบายความร้อน ระบบลิ้นปีกผีเสื้อไฟ้า ระบบหัวฉีดเชื้อเพลิง ระบบจุดระเบิด และ อื่นๆอีกมากมาย
ดัง นั้นเมื่ออุปกรณ์ไฟฟ้าใดไม่ทำงาน การฟันธงว่าอุปกรณ์นั้นเสีย การการวิเคราะห์ที่ไม่ถูกต้อง เช่น ไฟหน้ารถ ดับ หรือ แตรไม่ดัง หรือ พัดลมระบายความร้อนไม่หมุน จะบอกว่าอุปกรณ์เหล่านั้นเสียและต้องเปลี่ยนนั้น อาจทำให้ผู้ใช้รถเสียค่าซ่อมแพงโดยไม่จำเป็นและ ไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาที่แท้จริง
การ เช็คระบบไฟฟ้า หรือ รีเลย์เป็นสิ่งที่ช่างที่ดีมีจรรยาบรรณควรทำ (แต่อาจจะรวยช้าหน่อย) ไม่ใช่หลอกให้ลูกค้าเปลี่ยนตัวอุปกรณ์ไฟฟ้าเหล่านั้น ที่มีาราคาแพง หรือ หาของมือสองมาใส่ให้ เนื่องจากรีเลย์มีค่าตัวไม่สูงเมื่อเทียบกับอุปกรณ์ไฟฟ้า
ส่วน สาเหตุที่รีเลย์เสื่อม หรือ เสียนั้น เนื่องมาจาก ภายในตัวรีเลย์มีอุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์ เช่นตัวต้านทาน ขดลวดไฟฟ้า ที่สามารถเสื่อมได้ภายใต้การทำงานเวลานานใต้อุณหภูมิสูงและความร้อนสะสมภายในตัวรีเลย์เอง เนื่องจากระเเสไฟฟ้าไหลผ่านและ ความร้อนจากเครื่องยนต์
นอก จากนี้การสึกหรอในส่วนของกลไก และ การอาร์คของกระแสไฟฟ้าก็มีส่วนที่ทำให้หน้าสัมผัสละลาย หรือ ไหม้ได้ ส่งผลให้ไฟฟ้าเดินไม่สะดวก หรือ เกิดคอขวดของระบบไฟฟ้าบวกได้ตรงจุดนี้
บทบาทของรีเลย์
Relay จะมีบทบาท กับอุปกรณ์ไฟฟ้า ในรถยนต์ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะระบบการทำงานหลัก ของรถยนต์ เช่นระบบจ่ายน้ำมัน และระบบระบายความร้อน ถ้าRelay ไม่ทำงานเพียงอย่างเดียว ก็สามารถทำให้ ต้องจอดรถข้างทางได้เช่นเดียวกัน
Relay เป็นอุปกรณ์ไฟฟ้า ที่มีอยู่ในรถทุกคัน และมีโอกาสที่จะทำให้อุปกรณ์นั้นๆ ไม่ทำงานได้ เนื่องจากหน้า Contact ของตัว Relay เอง อาจจะไหม้ เนื่องจากมีการใช้งานมากหรือขั้วต่อต่างๆไม่แน่น เพราะอุณหภูมิที่ขาของรีเลย์สูงมากจน และสาเหตุอื่นๆ
ดังนั้น เมื่ออุปกรณ์ไฟฟ้าในรถไม่ทำงาน ไม่ต้องตกใจ ลองตรวจดูว่า Fuse ขาด หรือ Relay ปกติหรือไม่ และเพื่อความไม่ประมาท ควรจะมี Relay และ Fuse ติดไว้ในรถบ้าง
ก็จะเป็นการดี แต่ถ้าฉุกเฉิน ไม่สามารถหาได้จริงๆ ก็ไม่เป็นไร ลองพิจารณาดูว่า อุปกรณ์ชนิดใด ที่มี Relay ใช้อยู่บ้าง และไม่มีความจำเป็น ต้องใช้ในขณะนั้น เช่น กรณีที่Relay ของพัดลมระบายความร้อนเสีย แม้ว่าขณะนั้นเป็นเวลากลางคืน มีความจำเป็นต้องใช้ไฟส่องสว่างแต่คุณอาจจะเอา Relay จากวงจรไฟสูง มาใช้ทดแทน Relay ของพัดลมระบายความร้อนก็ได้ เพื่อให้คุณสามารถนำรถไปถึงที่หมาย
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจากhttp://www.citroenthai.org/
รีเลย์:สิ่งเล็กๆที่ถูกมองข้าม | เดลินิวส์ วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม 2558 เวลา 8:00 น.
คอลัมน์ :รู้ก่อนเหยียบ โดย“ช่างเอก”
รีเลย์:สิ่งเล็กๆที่ถูกมองข้าม เมื่อรถยนต์เกิดปัญหาในระบบไฟฟ้า ส่วนใหญ่จะเข้าใจว่าเกิดจากฟิวส์ขาดโดยมองข้ามสิ่งเล็ก ๆ ใกล้ตัวที่มีความสำคัญอย่าง “รีเลย์” ไปจนอาจกลายเป็นเส้นผมบังภูเขาเลยทีเดียว หลายครั้งเมื่อรถยนต์ของเราเกิดปัญหาในระบบไฟฟ้าต่าง ๆ ช่างรวมทั้งเจ้าของรถเองมักจะเข้าใจว่าเกิดจากฟิวส์ขาด-หลวม โดยมองข้ามสิ่งเล็ก ๆ ใกล้ตัวที่มีความสำคัญอย่าง “รีเลย์” ไปจนอาจกลายเป็นเส้นผมบังภูเขาเลยทีเดียว “รีเลย์”( relay) คือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ทำหน้าที่เป็นสะพานไฟ หรือจะเรียกง่าย ๆว่าเป็นสวิตซ์ก็ได้ มีหน้าที่ตัด-ต่อวงจรไฟฟ้า โดยอาศัยไฟฟ้าที่วิ่งผ่านขดลวดเพื่อสร้างแรงดูดของแม่เหล็กไฟฟ้า บังคับให้หน้าคอนแทกสัมผัสกัน กลายเป็นวงจรปิดคือมีกระแสไฟจากแบตเตอรี่ไหลผ่านไปจ่ายให้อุปกรณ์นั้น ๆ ทำงานได้ และตรงข้ามทันทีที่ไม่ได้จ่ายไฟให้มัน ก็จะกลายเป็นวงจรเปิดคือกระแสไฟไม่สามารถผ่านได้ ไฟที่เราใช้ป้อนให้กับตัว”รีเลย์” รถยนต์ จะมาจากแบตเตอรี่ สำหรับเหตุผลที่ต้องให้ไฟจากแบตเตอรี่ผ่าน “รีเลย์”ไปเลี้ยงอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ แทนที่จะผ่านสวิตซ์ทั้งหมดนั้นเนื่องจากเป็นวิธีที่จะลดกระแสไฟจำนวนมากไม่ให้ไหลผ่านสวิตซ์ จนเกิดความร้อนสูงอายุการใช้งานสั้นลงและเสียหายในที่สุด “รีเลย์”ในรถยนต์ จะมีอยู่ในทุกวงจร ของอุปกรณ์สำคัญที่ใช้ไฟฟ้า อาทิ หัวฉีด ปั๊มติ๊ก แอร์ พัดลมระบายความร้อน ไฟหน้าสูง-ต่ำ สปอร์ตไลท์ ไดสตาร์ท กระจกไฟฟ้า ระบบกันขโมย อาการ“รีเลย์”ชำรุด-เสียหาย -เมื่อ“รีเลย์”ชำรุดเสียหาย สังเกตได้จากอุปกรณ์นั้น ๆ จะไม่ทำงานเมื่อเปิดสวิตซ์ หรือทำงานบ้างไม่ทำงานบ้าง หรือเกิดเสียงดังที่ตัว “รีเลย์” ก่อนจะหยุดทำงาน อาทิ สตาร์ทเงียบ แบตเตอรี่ไม่หมด ให้ตรวจสอบ “รีเลย์สตาร์ท” พัดลมระบายความร้อนไม่ทำงาน ให้ตรวจสอบ ฟิวส์ และรีเลย์ เป็นต้น เทคนิคควรรู้ วิธีการต่อ “รีเลย์”5ขา (เอนกประสงค์) - ขา85 ต่อจากสัญญาณสั่งงาน แล้วแต่ว่าจะเป็น+ หรือ - แต่ต้องเป็นตรงข้ามกับ 86 -ขา86 ตรงข้ามกับ 85 -ขา30 ไฟต่อตรงมาจากแบตเตอรี่จะเป็นไฟ+ หรือ – ก็ได้ แต่ถ้าเป็นไฟ+ ควรผ่านฟิวส์ -ขา87 ส่วนใหญ่มักมี 2 ขาเพื่อสะดวกในการใช้งาน จะเป็นไฟที่จะส่งไปใช้ ในอุปกรณ์จะเป็นไฟ+หรือ- ขึ้นอยู่กับว่าใช้ไฟ+หรือ-จ่ายให้ขา 30 “
อ่านต่อที่ :
http://www.dailynews.co.th/article/366181
ขอบคุณข้อมูลจาก -บริษัท มาสเตอร์ มอเตอร์ เซอร์วิส (ประเทศไทย) จำกัด /
www.mmsboschcarservice.com“